L. U. CHOPARD Flying T Twin Ladies
ในปี 2019 CHOPARD ได้เพิ่มความซับซ้อนให้กับนาฬิกาหลายรุ่น กับกลไกฟลายอิ้งตูร์บิยองคาลิเบอร์ L.U.C 96.24-L พร้อมฟังก์ชั่นการหยุดเข็มแสดงเวลาวินาที ซึ่งในขณะนี้บรรจุอยู่ในนาฬิกา L.U.C Flying T Twin Ladies ใหม่สองรุ่นล่าสุดในตัวเรือนโรสโกลด์ หรือแพลทตินั่มประดับเพชร ในขนาดที่บางเฉียบพร้อมความเพรียว โดยนาฬิกาสองเรือนนี้จะมีขนาดที่ 35 มิลลิเมตร ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับข้อมือของคุณสุภาพสตรี ในซีรี่ส์การผลิตแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นจำนวน 25 เรือนที่ได้รับการขัดเกลาอย่างเหนือชั้น ทั้งในด้านกลไกและสุนทรียศาสตร์ อันสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่ง ที่แสดงโดยช่างฝีมือของโรงงาน CHOPARD ซึ่งได้รับการยืนยันด้วยมาตราฐานความเที่ยงตรงระดับ Chronometer และใบรับรอง Poinçon de Genève
ซึ่งแม้ว่านาฬิกา L.U.C Flying T Twin Ladies จะมีกลไกที่เหนือชั้น แต่สิ่งแรกและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความบาง พร้อมความประณีตของหน้าปัดที่โดดเด่นเหนือใคร ในตัวเรือนบางเฉียบที่ 7.47 มิลลิเมตร ในวัสดุโรสโกลด์หรือแพลทตินั่ม และถือเป็นนาฬิกากลไกฟลายอิ้งตูร์บิยองที่มีขนาดเล็กที่สุดในตลาด โดยจะมีกรงฟลายอิ้งตูร์บิยองติดตั้งไว้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกาเพื่อให้สามารถมองเห็นการทำงานได้ โดยจะมีเข็มแสดงเวลาวินาทีเล็กๆ อยู่ด้านบน พร้อมแสดงเวลา ณ ช่องเปิดบนหน้าปัดที่ผลิตขึ้นจากมุก ประดับด้วยมาร์กเกอร์เซ็ทติ้งเพชร ยกเว้นที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ซึ่งแสดงเป็นตัวเลขอารบิคสีทอง โดยมีหน้าปัดของรุ่นแพลทตินั่มที่จะปูประดับด้วยเพชร 282 เม็ดแทนทั้งหมดทั่วหน้าปัดอย่างหรูหรา
นาฬิกา L.U.C Flying T Twin Ladies ทำงานด้วยกลไกฟลายอิ้งตูร์บิยองอินเฮ้าส์คาลิเบอร์L.U.C caliber 96.24-L ซึ่งเป็นกลไกฟลายอิ้งตูร์บิยองอินเฮ้าส์คาลิเบอร์แรกของ CHOPARD โดยมีความหนาเพียง 3.30 มิลลิเมตร พร้อมกับคุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญเช่นการสำรองพลังงานนาน 65 ชั่วโมง, การใช้ระบบตลับลานคู่ที่ซ้อนกันโดยใช้เทคโนโลยี CHOPARD Twin รวมถึงการใช้ไมโครโรเตอร์ที่ผลิตจากทองคำ โดยสำหรับรุ่นแพลทตินั่ม ช่างฝีมือแห่ง CHOPARD ตัดสินใจเพิ่มสัมผัสแห่งความประณีต ด้วยการประดับเพชรลงบนไมโครโรเตอร์นี้อีกด้วย พร้อมการได้รับการรับรองความเที่ยงตรงที่ผนวกฟังก์ชั่นการหยุดเข็มวินาที ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งในกลไกแบบตูร์บิยอง ที่ช่วยทำให้สามารถตั้งค่าเวลาได้อย่างแม่นยำที่สุด
นอกจากนี้นาฬิกา L.U.C Flying T Twin Ladies ยังได้รับการรับรอง Poinçon de Genève อันทรงเกียรติ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงฝีมืออันประณีตในการผลิตของ CHOPARD ที่แสดงถึงมรดกด้านการผลิตที่ผ่านการผสมผสาน กับความทันสมัยในศิลปะแห่งการผลิตนาฬิกาในเวลา 25 ปีที่ผ่านมาของนาฬิกาในคอลเลคชั่น L.U.C ตั้งแต่ปี 1996 ที่ CHOPARD ได้ฝึกฝนความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกา และสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Karl-Friedrich Scheufele ผู้มุ่งมั่นในการแสวงหานวัตกรรมและปกป้องมรดก ที่สืบทอดผ่านนาฬิการุ่นต่างๆ ตั้งแต่สมัยของ Louis-Ulysse Chopard ผู้ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 1860 สู่พัฒนาการด้านกลไก ด้านการออกแบบ การขึ้นตัวเรือนโดยการตัด ส่วนประกอบของกลไก การเคลือบผิวด้วยมือแบบดั้งเดิม และการชุบผิวอัญมณี
รวมไปถึงการขัดเงา การประกอบ การปรับแต่ง และการควบคุมคุณภาพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเวิร์กช็อปที่เจนีวาและเฟลอริเยร์ ที่ช่วยกันส่งเสริมให้ CHOPARD มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตในรูปแบบต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมส่งผลให้ดำเนินการผลิตนาฬิกาในคอลเล็คชั่น L.U.C ได้อย่างเต็มศักยภาพตามจินตนาการอันบรรเจิดของเหล่านักออกแบบนาฬิกา