CHANEL Coulture O’ Clock Capsule Collection Haute Horlogerie J12 White Star Couture
สุนทรียภาพของลวดลายกราฟฟิค จากอาเตอลิเยร์ของมาดมัวแซล จากทั้งเครื่องมือที่ช่างเย็บผ้าใช้ และทักษะความชำนาญการอันโดดเด่นของเธอ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนาฬิกาใน Capsule Collection Haute Horlogerie ใหม่จาก CHANEL ภายใต้ชื่อ Couture O’ Clock ตั้งแต่ปลอกนิ้ว กรรไกร และเข็มหมุดที่เป็นเครื่องมือ ที่ใช้ในการทำงานในแต่ละวันของช่างเย็บผ้าที่สตูดิโอถนนกัมบง และได้รับการตีความให้กลายเป็นชิ้นงาน ที่ทั้งงดงามและอลังการ
โดยผสมผสานเข้ากับวิถีในการสร้างสรรค์และออกแบบเรือนเวลา อันรวมไปถึงเครื่องประดับและงานหัตถศิลป์ชั้นยอด ให้ผสานเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว โดยในส่วนของเรือนเวลาอันเป็นอีกหนึ่ง ในเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ก็ได้รับการตีความใหม่อีกครั้ง พร้อมการนำเสนอในรูปแบบที่สวยงามและแปลกใหม่ ด้วยการผสานความสามารถในการออกแบบที่โดดเด่น ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคอันซับซ้อน วัสดุในการผลิตชั้นเลิศ และรายละเอียดอันประณีตมากมายหลายวิธีการเข้าด้วยกัน
ซึ่ง CHANEL Coulture O’ Clock Capsule Collection Haute Horlogerie J12 White Star Couture ถือเป็นอีกหนึ่งเรือนเวลาที่แสดงความเป็น CHANEL ได้เป็นอย่างดี จากแนวคิดที่นำเสนอผ่านลวดลายกราฟฟิค จากทั้งอาเตอลิเยร์ของมาดมัวแซลเอง จากทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ รวมถึงความชำนาญอันโดดเด่นของ Coco Chanel ที่ในเรือนเวลานี้เลือกเอาลวดลาย จากหุ่นครึ่งตัวที่ใช้สำหรับการจำลองการตัดเย็บ ที่มีเส้นคาดสีดำพาดผ่านตัวหุ่นสีขาว สำหรับใช้เป็นเกณฑ์ทดลองในขั้นตอนการตัดเย็บ
กับในส่วนสีขาวที่ผลิตขึ้นจากชิ้นงานเซรามิค ประกบลงในกรอบชิ้นงานสตีลเคลือบสีดำ ให้เกิดเป็นสีสันตามแบบของหุ่นจำลอง เริ่มต้นจากชิ้นงานตัวเรือนสตีลเคลือบสีดำ ที่จะประดับไปด้วยเซรามิคสีขาวเจียระไนทรงบาแก็ตต์จำนวน 22 เม็ดบริเวณขาตัวเรือนทั้งสี่ กับขอบตัวเรือนชิ้นงานสตีลเคลือบสีดำ ประกบด้วยชิ้นงานเซรามิคสีขาว ที่ทำลวดลายในรูปแบบการเจียระไนทรงบาแก็ตต์ เช่นเดียวกันกับหน้าปัดที่เป็นชิ้นงานเซรามิคสีขาว ลวดลายรูปแบบการเจียระไนทรงบาแก็ตต์ ที่เรียงกันเป็นวงรอบหน้าปัด
นอกจากนี้ยังมีสายนาฬิกาที่ผลิตจากสตีลเคลือบสีดำเช่นกัน ที่ประดับด้วยชิ้นงานเซรามิคสีขาว เจียระไนทรงบาแก็ตต์รวมกันทั้งหมดอีก 342 เม็ดในทุกข้อต่อ รวมกันเป็นเรือนเวลาที่ใช้ชิ้นงานเซรามิคจำนวนมาก มาประดับอยู่ร่วมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากด้านหน้า ของเรือนเวลาชิ้นพิเศษนี้ ก็อาจไม่ได้เห็นความงามในระดับสูงสุดได้ จึงต้องหันมองด้านข้างของตัวเรือนทั้งสอง ที่จะเป็นการประดับเพชรน้ำงามจำนวนมากเข้าด้วยกันในทุกส่วน!!!
ด้วยเพชรน้ำงามเจียระไนทรงบาแก็ตต์ ที่ประดับอยู่ด้านข้างตัวเรือน และสายในทุกข้อต่อเป็นจำนวนมากถึง 215 เม็ด น้ำหนักรวมประมาณ 11.09 กะรัต ร่วมกับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์ 35 เม็ด น้ำหนักรวมอีกประมาณ 0.42 กะรัต ผนวกเข้ากับเม็ดมะยมที่ผลิตจากสตีลเคลือบสีดำ ที่มีการประดับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์อีก 1 เม็ด น้ำหนักประมาณ 0.16 กะรัต ร่วมกันทำให้เรือนเวลารุ่นนี้มีมากกว่าความพิเศษ กับเพชรน้ำงามทรงบาแก็ตต์ ที่ส่องประกายแวววาวเฉพาะบริเวณด้านข้างตัวเรือน
ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้มีความพิเศษเฉพาะตัวสำหรับผู้สวมใส่ ที่จะสามารถมองเห็นความอัศจรรย์ได้เพียงด้านข้างตัวเรือนเท่านั้น ในขณะที่ด้านนอกตัวเรือนและสาย จะยังคงสไตล์ความเป็น CHANEL ได้อย่างครบถ้วน ทั้งความมินิมอลของสีสันโทนขาว/ดำ ในสไตล์ดั้งเดิมของแบรนด์ที่เป็นทั้งดีเอ็นเอและตำนาน มาผนวกเข้ากับนวัตกรรมการประดับเพชรขั้นสูง ในรูปแบบพิเศษบนวัสดุชั้นยอดอย่างเซรามิคในยุคปัจจุบัน และทำให้เรือนเวลารุ่นนี้มีความเหนือชั้น มากไปกว่าเรือนเวลาแบบประดับเพชรทั่วไป
และนอกจากความงดงามภายนอกแล้ว กลไกการทำงานภายในก็ยังเต็มไปด้วยประสิทธิภาพอีกด้วย จากกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 12.1: ที่ผ่านการรับรองความเที่ยงตรงระดับ COSC หรือ Swiss Official Chronometer Testing Institute (สถาบันทดสอบความเที่ยงตรง ของนาฬิกาแห่งสวิตเซอร์แลนด์) พร้อมแท่นกลไกเคลือบโทนสีดำ และโรเตอร์เคลือบสีดำประดับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์อีก 34 เม็ด หรือประมาณ 0.26 กะรัตพร้อมให้พลังสำรองลานนานประมาณ 70 ชั่วโมง
แสดงฟังก์ชั่นการทำงานโดยเข็มแสดงเวลาชั่วโมง นาที และวินาที พร้อมความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 50 เมตร ในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร กับจำนวนการผลิตแบบจำกัดเพียง 12 เรือนทั่วโลก ที่ถือเป็นจำนวนการผลิตที่คัดสรรเจ้าของผู้เหมาะสมไปในตัว กับด้านหลังตัวเรือนที่กรุกระจกแซฟไฟร์ เพื่อแสดงให้เห็นกลไกการทำงาน พร้อมการระบุข้อความ “LIMITED TO 12” อย่างเด่นชัด ใช้งานคู่กันกับชุดล็อคสตีลแบบพับสามทบ ที่ผ่านกระบวนการเคลือบสีดำเช่นกัน