URWERK และ ULYSSE NARDIN สู่ UR-FREAK

อันเป็นเอกลักษณ์ของ URWERK ให้เข้าสไตล์ไอคอนคลาสสิคของนาฬิการุ่น Freak จาก ULYSSE NARDIN ซึ่งนำไปสู่การพัฒนากลไกอินเฮาส์รุ่นใหม่ล่าสุดในรหัสคาลิเบอร์ UN-241 ที่บูรณาการขึ้นเต็มรูปแบบ โดยหลอมรวมระบบกลไกแบบคารูเซลที่หมุน 3 ชั่วโมง ให้เข้ากับระบบแสดงเวลาชั่วโมงแบบแซทเทิลไลท์ ซึ่งนับเป็นการสร้างสรรค์กลไกที่สมดุล และนำเสนอการแสดงเวลาที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ซึ่งนอกจากนวัตกรรมเชิงกลไกแล้ว UR-FREAK ยังบรรจุที่สุดแห่งเทคโนโลยีของ ULYSSE NARDIN ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ในโลกนาฬิกานับตั้งแต่ปี 2001 ก่อนผู้ผลิตรายอื่นๆ นั่นก็คือเทคโนโลยีไดมอนซิล (Diamonsil) และซิลิคอน โดยเฉพาะระบบไดมอนซิลหรือซิลิคอนเคลือบเพชร ถูกนำมาใช้กับชุดเอสเคปเมนต์ของกลไกอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ UN-241 เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและทนทานให้มากยิ่งขึ้นไปอีกระดับ

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ การขึ้นลานอัตโนมัติที่ล้ำหน้าอย่างกรินเดอร์ (Grinder®) ซึ่งเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทางด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ของระบบขึ้นลานแบบอัตโนมัติในรอบหลายทศวรรษ ในตัวเรือนขนาด 44 มิลลิเมตรที่ผลิตขึ้นจากไทเทเนียมซันด์บลาสท์ ตามสไตล์ของ URWERK และคงเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่น Freak ไว้ด้วยการไม่มีเม็ดมะยม แต่ใช้เฉพาะขอบตัวเรือนที่หมุนในการปรับเวลาแทน

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นได้ถึงปรัชญา ของความเป็นอิสระในทั้งสองแบรนด์ที่มุ่งเน้น ในการทลายกรอบแนวคิดแบบดั้งเดิม พร้อมท้าทายแนวคิดคลาสสิกและเริ่มต้นสำรวจความคิดสร้างสรรค์ อย่างไร้ขอบเขตจากที่ URWERK ก่อตั้งขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ในการผลิตนาฬิกาที่ล้ำสมัย ในขณะที่ ULYSSE NARDIN มอง Freak ให้เสมือน “ห้องทดลองบนข้อมือ” สำหรับการทดลองในเรื่องรูปลักษณ์และวัสดุต่างๆ

รวมไปถึงทางด้านเทคโนโลยีแปลกใหม่ ซึ่งทำให้การร่วมมือเชิงเทคนิคในครั้งนี้ มีความแตกต่างจากการร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ทั่วไป เพราะนำไปสู่การสร้างชุดระบบกลไกใหม่ทั้งหมด ที่ไม่ใช่เพียงการปรับแต่งด้านความงามภายนอกเท่านั้น แต่เป็นการหลอมรวมดีเอ็นเอและนำเสนอการแสดงเวลา ไอคอนิกในรูปแบบใหม่เพื่อฉลองการถือกำเนิด ของยุคนาฬิกาสมัยใหม่ที่เติบโตและเป็นที่ต้องการของผู้คนในปัจจุบัน

โดยนาฬิการุ่น UR-FREAK จะมีการผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือนทั่วโลกเท่านั้น โดยขับเคลื่อนด้วยกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ UN-241 ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมพลังสำรองลานนานถึงระดับ 90 ชั่วโมง และเผยให้เห็นออสซิลเลเตอร์ซิลิคอนขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 25% ที่จัดวางไว้กึ่งกลางเหนือระบบแซทเทิลไลท์ที่แสดงค่าเวลาชั่วโมง ซึ่งเป็นการจัดวางที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ควบคู่กันของทีมงานในการพัฒนา

ทั้งกลไกและหน้าปัดเพื่อให้เกิดความสอดคล้องทั้งหมดในทุกด้าน และยังทำให้รูปแบบพร้อมฟังก์ชั่นถูกออกแบบควบคู่กันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้น ผลงานชิ้นเอกนี้จึงเป็นมากกว่าแค่นาฬิกาทั่วไป แต่เป็นสัญลักษณ์ของการผสานความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความชำนาญพิเศษของแต่ละแบรนด์ เพื่อก้าวข้ามขอบเขตของอุตสาหกรรมนาฬิกาตามแนวคิดของทั้ง URWERK และ ULYSSE NARDIN ได้อย่างแท้จริง



