สืบทอดตำนาน HEUER ก้างปลา
ย้อนกลับไปราวสองทศวรรษ หนึ่งในนาฬิกาที่ติดข้อมือของผู้คนในยุคนั้นมากที่สุดซีรี่ส์หนึ่งก็คือ นาฬิกาที่มีรูปแบบสายข้อมือซึ่งคนไทยเราเรียกกันว่าก้างปลา เด่นเกินหน้าเกินตาตัวนาฬิกาจนถึงขนาดนำมาใช้เรียกเป็นชื่อรุ่นเลยทีเดียวจนน้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วนาฬิกา TAG Heuer ที่โด่งดังระดับไอคอนซีรี่ส์นี้มีชื่อจริงๆ ว่าอะไร
S/el ต้นฉบับ 'ก้างปลา' รุ่นแรกซึ่งเริ่มออกจำหน่ายในปี ค.ศ.1987
ชื่อเรียกขานอย่างเป็นทางการของนาฬิกา TAG Heuer ซีรี่ส์นี้มีนามว่า S/el โดยย่อมาจากคำว่า Sport and Elegance ถือกำเนิดขึ้นด้วยไอเดียแนวๆ ของ TAG Heuer เมื่อช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ซึ่งต้องการจะสร้างนาฬิกาใหม่เอี่ยมขึ้นมาซีรี่ส์หนึ่งโดยมีแนวคิดที่จะรวมเอาความเป็นนาฬิกาหลายๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบบเดรส แบบสปอร์ต ไปจนถึงแบบหรูหราออกงานได้ มาหลอมรวมไว้ในนาฬิกาซีรี่ส์นี้ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นนาฬิกาประเภทเรือนเดียวจบใส่ไปได้ทุกที่ทุกเวลานั่นเอง และผลงานจากคอนเซ็ปต์แปลกใหม่ที่เกิดขึ้นก็ได้รับการต้อนรับจากตลาดอย่างท่วมท้นจนกลายเป็นซีรี่ส์นาฬิกาที่ได้รับความนิยมสูงสุดแบบหนึ่งของโลก
(ซ้าย) แอมบาสเดอร์ประจำนาฬิกาซีรี่ส์ก้างปลาตั้งแต่ปี 1988 Aryton Senna นักแข่งฟอร์มูล่าวันคนดังของทีมแม็คลาเรนในยุคนั้น
บรรพบุรุษชุดแรกของนาฬิกาสปอร์ตหรูซีรี่ส์ก้างปลาถือกำเนิดขึ้นใน ค.ศ.1987 ให้หลัง Formula 1 ซีรี่ส์นาฬิกาสปอร์ตรุ่นเล็กหนึ่งปี ในรูปโฉมนาฬิกาสปอร์ตสไตล์หรูรูปลักษณ์สดใหม่ที่แตกต่างจากนาฬิกาอื่นๆ ทั่วไปด้วยรูปทรงของตัวเรือนและสายโลหะที่ไหลลื่นพริ้วไหวสอดคล้องกันตลอดเรือน ข้อสายโลหะทำเป็นรูปตัว S คู่ประสานเรียงกันดุจกำไลข้อมือสุดเนียนตรงตามคอนเซ็ปต์การออกแบบที่ตั้งไว้ว่า Sport and Elegance แบบเป๊ะๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นที่จดจำและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมากับทางเลือกอันหลากหลาย ทั้งแบบปัดเงา ปัดด้าน เงาสลับด้าน เคลือบทองแบบสองกษัตริย์ ไปจนถึงแบบเคลือบทองล้วน จับคู่กับหน้าปัดสีต่างๆ หรือแม้กระทั่งสายแบบก้างปลาร่วมกับวัสดุหนัง และก็มีหลายขนาดให้เลือกทั้งไซส์ผู้ชาย บอยไซส์ และไซส์ผู้หญิง เรียกว่าตั้งใจกวาดตลาดทุกเพศทุกวัยกันเลยทีเดียว โดยมีฟังก์ชั่นต่างๆ ให้เลือกอย่างมากมาย ทั้งแบบบอกเวลาและแบบโครโนกราฟ เดินด้วยเครื่องควอตซ์และเครื่องออโต้ และยิ่งได้ Ayrton Senna แชมป์โลกฟอร์มูล่าวันในยุคนั้นซึ่งเป็นนักแข่งประจำทีม McLaren ในสมัยนั้นมารับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ตั้งแต่ปี 1988 ก็ยิ่งทำให้ก้างปลาพุ่งทะยานขึ้นเป็นนาฬิกาอันดับต้นๆ ที่ผู้คนทั่วโลกต้องการ และก็ช่วยเสริมความนิยมให้กับนาฬิการุ่นอื่นๆ ของแบรนด์และตัวแบรนด์เองด้วย
(ซ้าย) นาฬิกาก้างปลารุ่นที่ Senna สวมใส่ติดข้อมือในสมัยที่เขาเป็นแอมบาสเดอร์ของนาฬิกาซีรี่ส์นี้ เป็นรุ่นโครโนกราฟที่แสดงค่าเวลาด้วยเข็มร่วมกับหน้าจอดิจิตัล ในตัวเรือนสองกษัตริย์คู่กับสายหนังสีน้ำตาลที่มีข้อก้างปลาสีทองเชื่อมอยู่กับตัวเรือน โดยเขาได้มอบนาฬิกาเรือนนั้นให้กับช่างคนหนึ่งของทีมเมื่อจบฤดูกาลแข่งขันปี 1993
(ขวา) Link Senna Chronograph นาฬิกาเซนน่าลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นแรก ผลิตในจำนวนจำกัด 1,991 เรือน เมื่อปี 2001 มีชื่อ Ayrton Senna และโลโก้ S ซึ่งหมายถึง Senna อยู่บนหน้าปัด สร้างจากพื้นฐานของ Link เจเนอเรชั่นแรก
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1999 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่ TAG Heuer ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรธุรกิจลักชัวรี่ชั้นนำของโลก LVMH Group (Moët Hennessy Louis Vuitton) ในปีนั้นเองที่ TAG Heuer ได้เปิดตัวนาฬิกาเจเนอเรชั่นใหม่ที่จะมารับช่วงต่อจากก้างปลา โดยเป็นการนำดีไซน์อันโดดเด่นของซีรี่ส์ก้างปลามาขัดเกลาใหม่ให้ตัวเรือนและหน้าปัดมีขนาดใหญ่ขึ้นขณะที่ลดความหนาของตัวเรือนลง ทำให้ดีไซน์โดยรวมดูทันสมัยยิ่งขึ้น นาฬิการุ่นนี้ถูกบัญญัติชื่อขึ้นมาใหม่ว่า Link ซึ่งสื่อถึงความไหลลื่นเชื่อมโยงกันของดีไซน์ตัวเรือนจรดสายอันเป็นเอกลักษณ์นั่นเอง โดยยังคงมีรูปแบบและฟังก์ชั่นให้เลือกมากมายเช่นที่เคยเป็นมา แล้วก็ยังมีการทำนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นทริบิวต์ให้กับ Aryton Senna ซึ่งเป็นแอมบาสเดอร์ท่านแรกแห่งซีรี่ส์ก้างปลาหรือ S/el อันเป็นต้นกำเนิดของ Link ออกมาหลายเอดิชั่นด้วยกันเริ่มจากปี 2001 โดยออกเอดิชั่นใหม่ปีละรุ่นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2004 อันเป็นวาระครบรอบ 10 ปีแห่งการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในการแข่งรถฟอร์มูล่าวันของ Senna
(ซ้าย) Link Calibre S Chronograph เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2007 ในยุคเจเนอเรชั่นที่สองของ Link
(ขวา) Link Calibre 7 Advanced Magnetic GMT เปิดตัวเมื่อปี 2010 เป็นนาฬิกาที่เปิดตัวมาในช่วงปลายโมเดลของ Link เจเนอเรชั่นที่สอง
เจเนอเรชั่นแรกของ Link วางจำหน่ายได้ไม่กี่ปี ทาง TAG Heuer ก็ได้ปรับดีไซน์ของ Link ใหม่อีกครั้งให้ดูกลมกลืนและลื่นไหลยิ่งขึ้นโดยคลอดออกมาเป็นเจเนอเรชั่นที่สองในปี 2003 ด้วยขนาดตัวเรือน 42 มม. ซึ่งก็มีเครื่องและฟังก์ชั่นต่างๆ ให้เลือกใช้อย่างหลากหลายเช่นเคย ตั้งแต่ควอตซ์, ออโตเมติก Calibre 5, โครโนกราฟ Calibre 16, โครโนกราฟ Calibre 36 ที่อ่านค่าจับเวลาได้ละเอียดถึง 1/10 ของวินาที ไปจนถึงรุ่นที่ใช้เครื่อง Calibre S กลไกระบบอิเล็กโทร-เม็คคานิคัล อันเป็นการทำงานร่วมกันของระบบควอตซ์กับกลไกจักรกลให้สามารถแสดงค่าจับเวลาได้ละเอียดถึง 1/100 ของวินาทีที่ทาง TAG Heuer เป็นผู้คิดค้นขึ้น ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 2007 อันเป็นปีที่นาฬิกาซีรี่ส์นี้มีอายุครบ 20 ปีนับจากปีที่ S/el บรรพบุรุษของ Link ถือกำเนิด ตามมาด้วยรุ่นที่น่าสนใจอย่าง Calibre 7 Advanced GMT ในปี 2010 ที่มากับเครื่องออโต้ติดฟังก์ชั่นแสดงเวลาจีเอ็มทีด้วยเข็มพร้อมจานดิสก์แสดงชื่อเมือง
Link Automatic Chronograph Calibre 16 เจเนอเรชั่นล่าสุด
ล่าสุดในปี 2011 ที่ผ่านมา เจเนอเรชั่นที่สามของ Link ก็ได้รับการเปิดตัวออกสู่ตลาด โดยเจเนอเรชั่นใหม่นี้มากับดีไซน์เส้นสายที่เฉียบคมหมดจดยิ่งขึ้น มีขาตัวเรือนสั้นลงทำให้สวมใส่กระชับรับกับข้อมือกว่ารุ่นก่อน เม็ดมะยมบางลงแต่เส้นผ่านศูนย์กลางกว้างขึ้นกลมกลืนกับบ่าด้านข้าง และบนพื้นหน้าปัดยังวางเท็กซ์เจอร์เป็นเส้นลายในแนวตั้งเพื่อให้ดูมีมิติสวยงามด้วย ใช้หลักชั่วโมงแบบแท่งเงาวาวทรงเพรียวกว่าที่เคยเป็น ขอบหน้าปัดด้านในก็แคบลงกว่าเดิมซึ่งช่วยเสริมให้หน้าปัดดูแผ่กว้างสบายตาขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวสายสเตนเลสสตีลรูปตัว S คู่ก็ถูกทำให้แบนและมีเหลี่ยมสันดูแข็งแรงกว่าเจเนอเรชั่นก่อน โดยยังคงมีลักษณะแห่งความเป็น Sport and Elegance ตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมเมื่อครั้งเริ่มสร้างรุ่นก้างปลาอันเป็นบรรพบุรุษของตระกูลอยู่อย่างเหนียวแน่น
เรือนซ้ายเป็น Link Automatic Chronograph Calibre 16 เจเนอเรชั่นล่าสุด มีดีไซน์ที่ทันสมัยและคมคายกว่าเรือนขวาซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันจากเจเนอเรชั่นก่อนมากทีเดียว
Link เจเนอเรชั่นล่าสุด มีแบบต่างๆ ให้เลือกมากมายเหมือนเช่นเคย เริ่มจากแบบตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 40 มม. ที่มีให้เลือกทั้งเครื่องควอตซ์บอกเวลาสามเข็มและแบบเครื่องออโต้ Calibre 6 บอกเวลาแบบสองเข็มครึ่ง ต่อด้วยแบบ Day-Date ในตัวเรือนขนาด 42 มม. เครื่องออโต้ Calibre 5 ที่วางช่องหน้าต่างพร้อมกรอบสีเงินบอกวันกับวันที่เอาไว้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ส่วนรุ่นโครโนกราฟจะใช้ตัวเรือนขนาด 43 มม. ที่มาพร้อมสเกลทาคีมิเตอร์บนขอบตัวเรือน โดยจะมีรุ่น Link Chronograph Calibre S ซึ่งใช้กลไกระบบอิเล็กโทร-เม็คคานิคัล กับรุ่น Link Automatic Chronograph Calibre 16 เครื่องออโต้ที่มีลูกเล่นเสริมจุดชวนมองบนหน้าปัดด้วยการใช้วงวินาทีย่อยขนาดใหญ่ล้อมกรอบเงินวางทับเหลื่อมวงจับเวลาทั้งสองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนเช่นกันให้เลือกด้วย
บรรดา Link รุ่นต่างๆ ในเจเนอเรชั่นล่าสุด (ซ้าย) Link เครื่องควอตซ์ (กลาง) Link Automatic Calibre 5 Day-Date (ขวา) Link Calibre S Chronograph
ดีไซน์ที่แปลกตาออกไปจากเดิมอีกจุดที่อยากกล่าวถึงก็คือ รูปแบบของขอบตัวเรือนจะมีฐานเป็นทรงคัชชั่นที่สร้างความชวนมองได้มาก ยกเว้นรุ่นเครื่องควอตซ์ที่จะใช้ขอบตัวเรือนแบบเซาะร่องอันคุ้นตา บนขอบตัวเรือนนั้นโดยปกติแล้วจะมีตัวเลขชั่วโมงกับหลักมาร์คเกอร์อยู่ด้วย ยกเว้นรุ่นโครโนกราฟที่จะเป็นสเกลทาคีมิเตอร์ แต่บางรุ่นที่ใช้หลักชั่วโมงเลขโรมันจะเป็นขอบตัวเรือนแบบเกลี้ยง ด้านสีของหน้าปัดนั้นแทบทุกแบบจะมีทั้งสีดำและสีเงินให้เลือก โดยในแบบเครื่องออโต้ Calibre 6 จะมีรุ่นสองกษัตริย์หน้าปัดสีเงินที่ใช้ขอบตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ 18k และมาพร้อมสายที่มีการตกแต่งด้วยสีทองให้เลือกด้วย
Link Automatic Calibre 6 เจเนอเรชั่นล่าสุด เครื่องอัตโนมัติบอกเวลาแบบสองเข็มครึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า Link คอลเลคชั่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2011 นั้นไม่มีตัวเรือนขนาดสำหรับคุณผู้หญิงออกมาด้วย นั่นก็เพราะว่า TAG Heuer คิดการณ์ใหญ่ที่จะแยก Link สำหรับผู้หญิงออกจากรุ่นผู้ชายอย่างเด็ดขาด เหมือนกับที่ได้ทำกับคอลเลคชั่นฟอร์มูล่าวันมาก่อนหน้านี้ที่จะใช้แก่นของดีไซน์ร่วมกันแต่รังสรรค์รายละเอียดและสัดส่วนของดีไซน์รวมถึงการตกแต่งที่แตกต่างกันให้เหมาะสมกับแต่ละเพศโดยเฉพาะ จึงเป็นที่มาของนาฬิกา Link Lady ที่เปิดตัวออกมาในปี 2012
Link Lady ตัวเรือนโรสโกลด์ 18k ขนาด 29 มม. หน้าปัดสีม่วง หลักชั่วโมงประดับเพชร สายโรสโกลด์ 18k
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Link Lady นี้จะไม่ได้เป็นการนำเอาตัวเรือน Link ของผู้ชายมาลดขนาดให้ผู้หญิงใส่เหมือนที่เคยเป็นมาตั้งแต่รุ่นก้างปลาจนถึง Link เจเนอเรชั่นที่แล้ว แต่คราวนี้ทาง TAG Heuer ตั้งใจที่จะสร้างไอคอนแบบใหม่ให้กับนาฬิกาผู้หญิงอย่างแท้จริงด้วยการออกแบบตัวเรือนขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยมีจุดร่วมในการใช้ชื่อว่า Link จากการใช้ดีไซน์สายแบบตัว S คู่เช่นกันกับรุ่นผู้ชายแต่มีสัดส่วนและลักษณะที่ต่างกัน Link Lady จึงมีดีไซน์แห่งความเป็นผู้หญิงโดยแท้
(ซ้าย) ตัวเรือน 29 มม.แบบหน้าปัดเงิน ขอบตัวเรือนและหลักชั่วโมงประดับเพชร
(ขวา) ตัวเรือน 29 มม. แบบหน้าปัดดำ หลักชั่วโมงประดับเพชร
Link Lady ออกมาด้วยทางเลือกใน 2 ขนาดตัวเรือน คือ 34.5 มม. กับ 29 มม. ใช้แผ่นหน้าปัดที่มีความงดงามอ่อนละมุนด้วยการแกะลายกิโยเช่เป็นคลื่นโค้งรูปตัว S กระจายเป็นระลอกคลื่นออกจากจุดกึ่งกลางดูนุ่มนวลพริ้วไหวหรือแผ่นหน้าปัดเปลือกหอยมุก มีช่องหน้าต่างบอกวันที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ทำงานด้วยเครื่องควอตซ์ และที่ขาดไม่ได้ก็คือการมีสีหน้าปัดและรายละเอียดการตกแต่งให้เลือกหลายแบบด้วยกัน แน่นอนว่ามีแบบประดับเพชรด้วย ซึ่งรุ่นที่ใช้หลักชั่วโมงประดับเพชรก็จะมีการสลักเลขโรมันแสดงเป็นหลักชั่วโมงไว้บนขอบตัวเรือน และก็มีตัวเรือนโรสโกลด์ 18k หรือตัวเรือนแบบสองกษัตริย์สลับเยลโลว์โกลด์ 18k ให้เป็นเจ้าของด้วย ทั้งยังแสดงถึงความตั้งใจในการนำเสนอด้วยการให้ คาเมรอน ดิแอซ นักแสดงสาวชื่อดังเข้ามารับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ในการประชาสัมพันธ์ Link Lady คอลเลคชั่นนี้โดยเฉพาะ
(ซ้าย) แบบตัวเรือนสองกษัตริย์ขนาด 29 มม. จะใช้ขอบตัวเรือนที่ทำจากเยลโลว์โกลด์ 18k มีให้เลือกทั้งแบบหลักชั่วโมงประดับเพชรและแบบเลขโรมัน สายเป็นสตีลสลับเคลือบเยลโลว์โกลด์ตรงส่วนกลาง
(ขวา) แบบตัวเรือนขนาด 34.5 มม. หน้าปัดสีเงิน
เรามาจับตาดูความสำเร็จของทั้ง Link เจเนอเรชั่นใหม่ของผู้ชายและ Link Lady สำหรับผู้หญิงชุดนี้กันนะครับ ว่าจะขึ้นสู่การเป็นไอเท็มโปรดของผู้คนในยุคนี้เหมือนกับที่ก้างปลาเคยเป็นในยุคทศวรรษสุดท้ายก่อนเข้าสู่ปี 2000 หรือไม่
Cameron Diaz แอมบาสเดอร์ของคอลเลคชั่น Link Lady
By: Viracharn T.