30th Anniversary of SEIKO Thailand with Seiko “Real Thai Collection”
ปี 2021 นี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของ SEIKO แบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น เพราะสำหรับ SEIKO ในประเทศไทยยังถือเป็นช่วงเวลาพิเศษเช่นกัน โดยในปี 2021 นี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด ได้ดำเนินกิจการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการครบ 30 ปีอีกด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับวงการนาฬิกาในประเทศไทยดังนั้น บริษัท ไซโก (ประเทศไทย) จำกัด จึงฉลองโอกาสพิเศษนี้ด้วยการนำเสนอเรือนเวลา ที่สร้างขึ้นในแบบจำนวนจำกัดจากนาฬิการุ่นยอดนิยมของ SEIKO ในรูปแบบความเป็นไทยที่ SEIKO ภูมิใจนำเสนอ ภายใต้ชื่อ “Real Thai Collection” กับการนำเอกลักษณ์ของภูมิภาคทั้ง 4 ของไทยเป็นแรงบันดาลใจ
เริ่มต้นด้วยภาคอีสาน (ISAN) : Phi Ta Khon นาฬิกาใน Ref. SPB247J ที่นำแรงบันดาลใจมาจากเทศกาลงานบุญอันโด่งดังและมีเอกลักษณ์ของภาคอีสาน รังสรรค์เป็นชิ้นงานที่สะท้อนสีสันแห่งวัฒนธรรม “ผีตาโขน” ซึ่งภาคอีสานถือเป็นถิ่นกำเนิดของเทศกาลประเพณีแห่ “ผีตาโขน” ที่เป็นหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่ที่เรียกว่า "งานบุญหลวง" หรือ "บุญผะเหวด" โดยเล่ากันว่าเทศกาลนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก “มหาเวสสันดรชาดก” และเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พระเวสสันดรและนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่ากลับสู่เมือง ดังนั้นเหล่าผีป่าและสัตว์นานาชนิดจึงอาลัยรัก และพากันแห่แหนแฝงตัวแฝงตนมากับชาวบ้านเพื่อมาส่งทั้งสองพระองค์กลับเมืองที่เรียกกันว่า "ผีตามคน" หรือ "ผีตาขน" จนเพี้ยนกลายมาเป็น "ผีตาโขน" ในปัจจุบัน โดยถือเป็นประเพณีที่จะจัดขึ้นทุกปีที่พระธาตุศรีสองรัก ปูชนียสถานสำคัญของชาวด่านซ้าย จังหวัดเลย
ด้วยความมีเอกลักษณ์ของเทศกาลนี้ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการนำสีสันของเครื่องแต่งกายผีตาโขนมาออกแบบตกแต่งนาฬิการุ่นพิเศษบนตัวเรือนแบบ “ซูโม่” ซึ่งเป็นรุ่นบุกเบิกของโมเดลที่ผลิตในญี่ปุ่นและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรกๆ โดยให้สีสันขอบเบเซิลสีดำแดง ตัดกับสเกลและมาร์กเกอร์ชั่วโมงสีทอง ที่ได้รับแรงบันดาลใจตามสีสันของหน้ากากและเครื่องแต่งกายของ ผีตาโขน นอกจากนี้ยังมีแพทเทิร์นหน้าปัดแบบพิเศษ ที่มีเส้นสายเหมือนลวดลายของงานหัตถกรรมเครื่องจักรสาน พร้อมฝาหลังประทับสัญลักษณ์ลวดลายของหน้ากากผีตาโขน พร้อมระบุหมายเลขประจำตัวเรือนที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,991 เรือนตามปีที่เริ่มจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ออกแบบลวดลายตามคอนเซ็ปท์ โดยมีกล่องบุกำมะหยี่สีแดงเข้มประทับตราสัญลักษณ์โลโก้ SEIKO Thailand 30thAnniversary และ สัญลักษณ์ “หน้ากากผีตาโขนสีทอง” ที่มาพร้อมสายยางอีกหนึ่งชุด โดยนาฬิการุ่นนี้จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 28 สิงหาคม ในราคา 39,800 บาท
ต่อด้วยภาคใต้ (SOUTH) : Nung Ta Lung นาฬิกาใน Ref. SRPG55K ที่นำความสวยงามของท้องทะเลไทย ที่เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะความสวยงามของท้องทะเลทางภาคใต้ ที่เคยเผยโฉมแม้ในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูดมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ผนวกกับหนึ่งในมหรสพที่เป็นศิลปะวัฒนธรรมการแสดงท้องถิ่น อันเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ ที่บอกเล่าและขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น โดยใช้เงาฉายไปบนจอผ้าอย่างหนังตะลุง ที่ทำให้เกิดความสนุกสนานพร้อมตัวละครดังอย่าง “อ้ายเท่ง”ซึ่งความโดดเด่นทางด้านภูมิทัศน์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจนี้ รวมกันเป็นแรงบันดาลใจในการใช้สีน้ำเงินจากฟ้าครามของท้องทะเลทางภาคใต้มาเป็นสีหลัก บนตัวเรือนท๊อปฮิตที่แฟนๆ ขนานนามกันว่า “มอนสเตอร์”
กับหน้าปัดแบบซันเรย์มีการเล่นเหลือบแสงเงา สีสันของน้ำทะเลในวันฟ้าใสสะท้อนตา กับชุดเข็มสีทองเพิ่มความหรูหรา โดยมีฝาหลังประทับสัญลักษณ์ตัวละครเด่นของหนังตะลุงเอาไว้ พร้อมระบุหมายเลขประจำเรือน กับการผลิตในแบบจำนวนจำกัดเพียง 1,991 เรือน ตามปีที่เริ่มการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ออกแบบลวดลายตามคอนเซ็ปท์ ในกล่องกำมะหยี่สีฟ้าน้ำทะเล ประทับตราสัญลักษณ์โลโก้ SEIKO Thailand 30thAnniversary และสัญลักษณ์ตัวละครในหนังตะลุงสีทองพร้อมสายยางคุณภาพสีน้ำเงิน โดยมีแผนวางจำหน่ายราวเดือนตุลาคมนี้ ในสนนราคาราว 23,800 บาท
เรือนต่อมาคือภาคเหนือ (NORTH) : Khom Yee Peng นาฬิกาใน Ref. SRPH35K ที่แฝงความตระการตาด้วยความสวยงามของโคมลอยนับพันบนท้องฟ้าในงานประเพณี “ยี่เป็ง” ณ แดนดินถิ่นล้านนา หรือเรียกว่า “ประเพณีเดือนยี่” ของชาวล้านนา เทศกาลที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนไปดินแดนทางเหนือของประเทศไทยในทุกๆ ปี ซึ่งชาวเหนือเชื่อว่าการปล่อยโคมลอยนั้น เป็นการบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือบ้างก็เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์หรือสะเดาะเคราะห์ ให้เกิดมงคลแก่ชีวิตซึ่งคำว่า ยี่ แปลว่า สอง และเป็ง หมายถึง เพ็ญหรือพระจันทร์เต็มดวงนั่นเอง
โดยสวยงามของโคมนับพันบนท้องฟ้าในคืนวันเพ็ญนั้น ถูกนำมาถ่ายทอดลงบนนาฬิกาที่มีตัวเรือนรูปทรงเหมือนกระดอง “เต่า” กับหน้าปัดทรงกลมที่เป็นตัวแทนของโคมลอยที่มีลักษณะโค้งมน พร้อมขอบเบเซิลแบบเซรามิคสีดำ รับกับสเกลสีส้มและสีครีมที่ตัดกันอย่างกลมกลืน โดยมีหน้าปัดเล่นระดับการไล่สีส้มกลืนไปกับขอบสีดำ สื่อถึงความสวยงามของแสงไฟโคมลอยบนท้องฟ้าในคืนวันเพ็ญ ฝาหลังประทับสัญลักษณ์รูปโคมล้านนา พร้อมระบุหมายเลขประจำเรือนโดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,991 เรือนตามปีที่เริ่มการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ออกแบบลวดลายตามคอนเซ็ปท์ ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ประทับตราสัญลักษณ์โลโก้ SEIKO Thailand 30th Anniversary และสัญลักษณ์ “โคมล้านนา” สีทองพร้อมสายยางสีส้ม โดยจะวางจำหน่ายราวเดือนธันวาคมนี้กับสนนราคาราว 27,800 บาท
และสุดท้ายกับภาคกลาง (CENTRAL) : Yak Wat Chang นาฬิกาใน Ref. SRPH42K และ Ref. SRPH44K จากตำนานเรื่องเล่าของ “ทศกัณฐ์” และ “สหัสเดชะ” ประติมากรรมยักษ์ 2 ตนผู้ยืนเฝ้าทางเข้าพระอุโบสถวัดอรุณแห่งท่าเตียน โดยสำหรับภาคกลางนั้นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักจะไปเยือนและถือโอกาสชมศิลปะและประติมากรรมแบบไทย จะเป็นพระราชวังหรืออารามหลวง โดยเฉพาะ “วัดแจ้ง” หรือ “วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร” ที่เปรียบดั่งแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพหรือบางกอก ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความสวยงามในเรื่องของพระปรางค์ประธานที่มีขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้า และสะท้อนความสวยงามดึงดูดสายตาของผู้คนเมื่ออาทิตย์อัสดง
ซึ่งนอกเหนือจากความสวยงามของพระปรางค์แล้ว ยังมีเรื่องเล่าแห่งท่าเตียนของยักษ์ 2 ตนที่เป็นประติมากรรมสำคัญของวัด ผู้รับหน้าที่เฝ้าซุ้มยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถวัดอรุณ ซึ่งเป็นผลงานประติมากรรมที่มีทั้งความสวยงามและความน่าเกรงขาม พร้อมกับเรื่องที่เล่าปากต่อปากกันมาว่า บริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนี้ เป็นผลมาจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์” ซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่เกิดความขัดแย้งจนทะเลาะและต่อสู้กัน จนทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมด บริเวณนั้นจึงราบเรียบเป็นสถานที่ที่โล่งเตียน จนเป็นที่มาของชื่อ “ท่าเตียน” ในปัจจุบัน
กับนาฬิการุ่นที่แฟนๆ เรียกกันว่า “ซามูไร” ด้วยรูปทรงของตัวเรือนที่เฉียบคม โดยรุ่น “ยักษ์”ของภาคกลางนี้จะผลิตออกมาด้วยกัน 2 เรือนคือ สหัสเดชะ (ยักษ์กายสีขาว) ใน Ref. SRPH42K หน้าปัดสีขาวแพทเทิร์นสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบสามมิติ เหมือนผิวกายประติมากรรมของยักษ์ที่ถูกตกแต่งและประดับประดาด้วยกระเบื้องชิ้นเล็กๆ อย่างประณีต โดยมีขอบเบเซิลสีแดงเหมือนสีริมฝีปากของยักษ์ ขอบเซรามิคสีดำพิมพ์สเกลสีขาวล้อมกรอบสีทองเหมือนดั่งมงกุฎชัย และชุดเข็มตกแต่งด้วยสีทองสื่อถึงดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ หรือ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย
สำหรับทศกัณฑ์ (ยักษ์กายสีเขียว) ใน Ref. SRPH44K จะมีหน้าปัดสีเขียวแพทเทิร์นสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบสามมิติ เลียนแบบผิวกายของยักษ์ที่ถูกประดับด้วยชิ้นกระเบื้อง พร้อมขอบเบเซิลสีแดงเหมือนสีของริมฝีปากยักษ์ พร้อมขอบเซรามิคสีดำพิมพ์สเกลสีเขียวล้อมกรอบสีทองเหมือนดั่งมงกุฎจีน และชุดเข็มสีทองตัดกับเข็มวินาทีสีแดงเพื่อเพิ่มความหรูหรา โดยนาฬิกาทั้งสองรุ่นจะมีฝาหลังประทับสัญลักษณ์รูป “ยักษ์” พร้อมระบุหมายเลขประจำเรือน โดยใน Ref. SRPH44K หน้าปัดสีเขียวนี้จะมีจำนวนผลิต 996 เรือน และใน Ref. SRPH42K หน้าปัดสีขาวจะมีจำนวนผลิต 995 เรือน รวมเป็น 1,991 เรือนตามปีที่เริ่มการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ออกแบบลวดลายตามคอนเซ็ปท์ โดยกล่องกำมะหยี่จะประทับตราสัญลักษณ์โลโก้ SEIKO Thailand 30th Anniversary และสัญลักษณ์รูป “ยักษ์สีทอง” พร้อมสายยางคุณภาพสีดำและเขียว โดยมีแผนวางจำหน่ายราวเดือนมีนาคม 2022 กับสนนราคาเรือนละ 27,800 บาท
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SEIKO Call Center 02-255-1245 ต่อ 888 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ :
Website : https://www.seikowatches.com/th-th, SEIKO Prospex website : www.seikoprospexthailand.com, Facebook : https://www.facebook.com/SeikoThailandOfficial, Instagram : https://www.instagram.com/seiko_thailand/ และ Line : @seiko_thailand