การประกาศเจตนารมณ์ของนาฬิกาในแบบอินทิเกรดเบรซเลท
จากที่ขอกันมาซึ่งเราก็จัดให้ แต่เป็นในแบบของเราเอง กับสายนาฬิกาในรุ่น 2340 ที่มีความโดดเด่นจากสายแบบห้าข้อ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อผสานรวมทุกฟังก์ชั่น ของการใช้งานไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมความโดดเด่นสะดุดตา ผนวกด้วยการใช้งานได้ในระยะยาว โดยประกอบไปด้วยชิ้นส่วนจำนวน 92 ชิ้นทั้งข้อและข้อต่อ 46 ชิ้น พร้อมข้อปลาย 2 ชิ้นและหมุดจำนวน 32 ตัว ยึดด้วยสกรูว์อีก 12 ตัวในโครงสร้างที่โดดเด่นทั้งด้านเทคนิค และความสวยงามโดยข้อด้านนอก จะผลิตจากวัสดุไทเทเนียมแบบขัดเงา

ตัดกับข้อกลางที่ผลิตจากสตีลผ่านการขัดเงา โดยการเล่นกับวัสดุอย่างพิถีพิถันนี้ จะช่วยเพิ่มมิติและความประณีต ในแต่ละข้อที่ผ่านการเจียระไนด้วยมือ และประกอบเข้าด้วยกันในขั้นตอนสุดท้ายด้วยมือ ซึ่งนับเป็นการทำงานที่พิถีพิถัน และต้องการความแม่นยำสูงตามแบบฉบับ ของนาฬิการะดับสูงจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสายที่งดงามนี้จะต้องด้วยล็อคไว้ ด้วยชุดบานพับแบบปีกผีเสื้อสปริง ที่ซ่อนเร้นบานพับไว้อย่างแนบเนียนเมื่อสวมใส่

และไร้รอยต่อทั้งในด้านรูปลักษณ์หรือการใช้งาน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสายนาฬิกาที่พลิ้วไหว ไปกับตัวเรือนได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมให้ความรู้สึกถึงความต่อเนื่องทางสายตา และความเป็นหนึ่งเดียวของโครงสร้าง ทั้งเป็นการยกย่องแนวทางการออกแบบ ที่ผสานรวมกันได้อย่างยิ่งใหญ่ จากการตีความใหม่ด้วยภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของ LOUIS ERARD ในยุคปัจจุบัน โดยยังคงมีตัวเรือนอันเป็นหัวใจสำคัญของดีไซน์ ที่เน้นให้เห็นถึงความสมดุลอย่างลงตัว จากเส้นสายที่เรียบหรูและวัสดุที่ชาญฉลาด

พร้อมความสบายในการใช้งานทุกวัน กับตัวเรือนขนาด 40 มิลลิเมตร ซึ่งหากวัดจากขาตัวเรือนถึงขาตัวเรือนจะเป็นขนาด 41.5 มิลลิเมตร แต่ยังคงความเพรียวบางในรูปทรง จากการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยมีตัวเรือนท่อนกลางผลิตจากวัสดุไทเทเนียมขัดเงา เพื่อความเบาและความสะดวกสบาย กับขาตัวเรือน ขอบตัวเรือน เม็ดมะยม และฝาหลังที่ผลิตจากสตีลขัดเงา เพิ่มความโดดเด่น เงางาม และชัดเจนของโครงสร้าง นอกจากนี้ตัวเรือนในแต่ละด้าน จะมีขอบขัดเงา 4 เหลี่ยม เพื่อมอบเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ซึ่งไม่ใช่แค่ดีไซน์แต่ยังซ่อนสายนาฬิกาที่มองไม่เห็นไว้ด้วย และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือตัวเรือนที่ดูเฉียบคม ให้ความรู้สึกสบายข้อมือ และเสริมบุคลิกสปอร์ตชิคของ 2340 พร้อมหน้าปัดในสามแบบ/สองดีไซน์ แต่เป็นหนึ่งมาตรฐาน โดยแต่ละดีไซน์จะใช้เทคนิคการขึ้นรูปที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมพื้นผิวและมิติความลึก กับหน้าปัดเคลือบแล็กเกอร์สีเขียวมิ้นท์ พร้อมลวดลายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแคปซูล และเป็นการยกย่องสีพร้อมโลโก้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกาได้อย่างสนุกสนาน

ส่วนแบบหน้าปัดสีน้ำเงินจะเป็นพื้นผิวลายเส้น ด้วยลวดลายเส้นตรงที่สะท้อนถึงสายนาฬิกา เชื่อมโยงดีไซน์ให้เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว โดยหน้าปัดทั้งหมดจะมีมาร์กเกอร์ที่ลอยตัวขึ้นเพื่อเพิ่มมิติ พร้อมแสดงเวลาด้วยเข็มนาฬิกาทรงบาตอง ที่ได้รับการขัดเงาเพื่อให้อ่านเวลาได้ง่ายและดูโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีมินิทแทร็คล้อมรอบหน้าปัด พร้อมชื่อแบรนด์ LOUIS ERARD ที่ผสานเข้ากันกับดีไซน์ได้อย่างแนบเนียน กับการทำงานด้วยชุดกลไก SELLITA คาลิเบอร์ SW300-1 แบบอัตโนมัติจากสวิตเซอร์แลนด์ที่บางเฉียบ

ที่ถือเป็นครั้งแรกที่ LOUIS ERARD เลือกใช้กลไกนี้ พร้อมชุดโรเตอร์ที่ผ่านการเคลือบด้วยแล็คเกอร์สีดำ เฉพาะสำหรับ LOUIS ERARD พร้อมการตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ กับความหมายของ 2340 ที่มากกว่าแค่เป็นนาฬิกา แต่คือก้าวสำคัญในการเดินทางของแบรนด์ นั่นคือการก้าวเข้าสู่โลกแห่งความสปอร์ต-ชิค อย่างลึกซึ้งและเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ที่มาพร้อมความหลงใหลในดีไซน์และใส่ใจในรายละเอียด ตั้งแต่ปี 1929 และตอนนี้ที่ยิ่งจะพิเศษมากกว่าที่เคยเป็นมากับชื่อของตัวเลข 2340

สู่ LOUIS ERARD นาฬิกาหนึ่งแบรนด์ในสองอัตลักษณ์ จากช่วงเวลาหลายปีที่คอลเลคชั่นMétiers d’Art และ Collaborations ได้นิยามตัวตนของแบรนด์ และยังคงเป็นเช่นนั้น พร้อมด้วยวันนี้ที่คอลเลคชั่น 2340 จะนำแบรนด์ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ LOUIS ERARD เพื่อถ่ายทอดตัวตนผ่านอัตลักษณ์ในการออกแบบ โดยคอลเลคชั่น Noirmont เป็นการตั้งชื่อตามสถานที่ตั้งของแบรนด์ตั้งแต่ปี 1992 และคอลเลคชั่น 2340 เป็นการตั้งชื่อตามรหัสไปรษณีย์ และยังถือเป็นอนาคตแห่งโลกของความสปอร์ตสุดชิคอีกด้วย



