UR-230 ‘Black Star’
URWERK ปิดท้ายปีด้วยนาฬิกาในโทนสีดำสนิท กับผลงานรุ่นใหม่ล่าสุด UR-230 ‘Black Star’ นาฬิกาที่ไม่ได้ตามหาแสง หากแต่ดูดกลืนและโอบรับแสงไว้ทั้งหมด ก่อนจะสะท้อนกลับออกมา ในแบบฉบับของตัวเองที่มีเอกลักษณ์ หลังจากการเผยผลงานในผิวสัมผัสแบบดิบดุของ Carbon CTP ในรุ่น ‘Eagle’ และความขาวสบายตาจากแร่ธาตุเซรามิคในรุ่น ‘Polaris’ สู่ ‘Black Star’ ที่ทำหน้าที่ปิดฉากบทสุดท้ายของคอลเลกชั่น 230 ด้วยอารมณ์แห่งห้วงจักรวาล ที่ทั้งมืดมิดและเคว้งคว้าง คล้ายสนามแรงโน้มถ่วงที่ดูดกลืนแสงไว้ทั้งหมด

UR-230 “Black Star” ยังโดดเด่นในหลายมิติ โดยเริ่มจากโครงสร้างของกลไกอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ UR-7.30 ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเวลา และบรรจุอยู่ในโครงไทเทเนียมแบบปิดผนึกแน่นหนา ซึ่งออกแบบให้ทำหน้าที่เสมือนตู้นิรภัยเชิงกล รายล้อมด้วยตัวเรือนคอมโพสิทเซรามิก และฝาหลังไทเทเนียมดีแอลซีสีดำ ซึ่งประกอบกันเป็นเกราะนอกของ UR-230 “ผมหลงใหลในความงามของเซรามิค ทั้งเส้นสายที่คมชัดและความราบเรียบ จากวัสดุที่แข็งแรง แวววาว และสวยงาม แต่ก็เปราะบางในที เพียงกระแทกครั้งเดียวก็อาจแตกได้”

“แต่ผมก็ไม่ต้องการตัดตัวเลือกนี้ทิ้ง” Felix Baumgartner ช่างนาฬิกาและผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK อธิบาย และยังกล่าวถึงต่อไปว่า “เราจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้ความตั้งใจนี้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่ลดทอนสิ่งใดลงเลย” จนเกิดเป็น UR-230 ‘Black Star’ ที่มาพร้อมตัวเรือนประสิทธิภาพสูง ผลิตจากคอมโพสิทเซรามิกลามิเนท ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ URWERK โดยประกอบด้วยชั้นเซรามิกถักทอ ผสานกับไฟเบอร์กลาสและคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งทั้งหมดจะหลอมรวมอยู่ในโพลีเมอร์แมททริค (Polymer Matrix) ร่วมกันอย่างประณีต

โดยเมื่อผ่านกระบวนการขึ้นรูปแล้ว เซรามิคชนิดพิเศษนี้ก็จะเผยผิวสัมผัสแวววาวมีมิติ บนพื้นผิวเรียบเนียนเพื่อแต่งเติมและจุดประกาย จนก่อให้เกิดลวดลายสีดำลึก อันมีชีวิตชีวาราวกับเรืองแสงได้ ในแบบของความมืดที่มีชีวิต “หากโพลาริส (Polaris) เปรียบเสมือนแสงนำทางของดาวเหนือแล้ว Black Star ก็จะเป็นสัญลักษณ์ของความเวิ้งว้างในจักรวาล”Martin Frei ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์และผู้ร่วมก่อตั้ง URWERK กล่าวเพิ่มเติม “เพราะความดำนี้ไม่ได้มีไว้เพื่ออำพราง แต่ยังหายใจ มีชีวิต และทำให้แสงเผยตัวขึ้นท่ามกลางเงามืด”

“ซึ่งในทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์แล้ว ‘Black Star’ จะหมายถึงสภาวะของดาวที่กำลังยุบตัวและดูดกลืนแสงราวกับหลุมดำ แต่ก็ไม่เชิงจะเป็นเช่นกัน ดั่งเส้นแบ่งระหว่างการดำรงอยู่และการเลือนหายไป ดังนั้น ‘Black Star’ ของ URWERK จึงสะท้อนตัวตนที่ฟังดูย้อนแย้งนี้กับความดำลึกที่มีชีวิต แต่ไม่ได้ปฏิเสธแสง และยังเผยแสงนั้นผ่านม่านเงา อันเป็นประกายที่ถือกำเนิดจากศูนย์กลางแห่งจักรวาลอันมืดมิด โดยมีการโคจรของชุดกลไกอยู่ภายใน พร้อมสไตล์ที่เป็นดีเอ็นเอจาก URWERK อย่างแท้จริงในชุดกลไกแบบคอมพลิเคชั่นแซทเทิลไลท์

ที่แสดงเวลาในแบบวานเดอร์ริ่งอาวร์ (Wandering Hours) และเข็มเรโทรเกรดแบบสามมิติ โดยมีแกนกลางเชื่อมต่อกับบล็อก สำหรับแสดงค่าชั่วโมงทรงลูกบาศก์ทั้งสามส่วน โดยบล็อกสี่ด้านจะเคลื่อนที่ผ่านแต่ละเซ็คเตอร์ในแบบ 120 องศาในระยะเวลา 60 นาที และการแสดงเวลาชั่วโมงที่ทำงานอยู่ ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปตามสเกลนาที จะโคจรด้วยเข็มเรโทรเกรดแบบโปร่ง ที่คอยประกบและนำทางจากตำแหน่ง 0 ถึง 60 ซึ่งเมื่อครบถึงช่วงเวลา 60 นาทีแล้ว เข็มก็จะตีตัวกลับไปที่ตำแหน่ง 0 ในทันทีทันใด เพื่อเข้าสู่การโคจรรอบใหม่

นอกจากนี้ชุดกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัตินี้ จะทำงานด้วยระบบใบพัดทรงกังหันคู่ ซึ่งพัฒนาเฉพาะสำหรันาฬิการุ่นนี้ โดยใบพัดหนึ่งจะทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกจากภายนอก ในขณะที่อีกใบพัดหนึ่งจะทำหน้าที่ ในการควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ในชุดกลไกอัตโนมัติเสมือนเบรกอากาศพลศาสตร์ไว้ ซึ่งบริเวณฝาหลังจะมีชุดควบคุม ที่ช่วยปรับระดับการทำงานของโรเตอร์ได้ หรือแม้แต่ปิดการทำงานเพื่อสลับ ไปใช้โหมดไขลานด้วยมืออีกด้วย โดยมีมาตรแสดงในสองตำแหน่ง ซึ่งจัดวางอย่างสมมาตร ณ ตำแหน่ง 11 และ 1 นาฬิกา

ดังนั้น URWERK UR-230 “Black Star” จึงเป็นบทสรุปของนาฬิกาในคอลเลคชั่น 230 ที่มาพร้อมเรื่องราวที่ขณะนี้ได้ปิดฉากลงแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการผจญภัยครั้งใหม่ของ URWERK ก็กำลังรออยู่ในปี 2026 ซึ่งจนกว่าจะถึงตอนนั้น ขอให้ปีนี้ที่จะผ่านพ้นไปรวมถึงปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึงเป็นปีที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสำหรับทุกคน



