WATCHES AND WONDERS GENEVA 2024
ประตูของงาน WATCHES AND WONDERS GENEVA 2024 เปิดขึ้นในวันอังคารที่ 9 เมษายน 2024 เวลา 08.30 น. พร้อมรูปแบบดั้งเดิมที่ใน 4 วันแรกจะสงวนไว้สำหรับทางแบรนด์ ตัวแทนจำหน่าย และสื่อมวลชนเท่านั้น โดยพร้อมจะเปิดประตูให้กับบุคคลทั่วไปเป็นเวลา 3 วันในปีนี้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 15 เมษายน 2024 ณ สถานที่ดั้งเดิมของงานที่ Palexpo เจนีวา
กับแบรนด์นาฬิกทุกแบรนด์ ที่จะจัดแสดงนิทรรศการพร้อมกันทั้งหมด 54 แบรนด์พร้อมการตกแต่งบูธในสไตล์ของแต่ละแบรนด์ในแต่ละปีอย่างงดงาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยโฉมผลงานชิ้นใหม่ และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชมคอลเลคชั่นใหม่ๆ นี้พร้อมกัน นอกจากนี้แบรนด์ทั้งหมดต่างก็พร้อม ที่จะต้อนรับผู้เข้าชมด้วยกิจกรรม ที่สวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละบูธอีกด้วย
รวมไปถึงพื้นที่งาน In The City สำหรับโปรแกรมปี 2024 ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับศาสตร์แห่งโลกนาฬิกา และรวมถึงผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาและนักสะสมผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้เป็นโอกาสสำหรับทุกคน ที่จะดำดิ่งลึกเข้าไปในวัฒนธรรมของการผลิตนาฬิกา และติดตามดูการทำงานภายในอุตสาหกรรมที่ ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ งานฝีมือ และความหลงใหลของนาฬิกา
เริ่มตั้งแต่ ROLEX ที่น่าจะโดดเด่นที่สุดกับ GMT-Master II ที่มาพร้อมขอบเบเซิลสีใหม่ ดำ/เทา และทางเลือกสายแบบจูบิลี่ ในสไตล์ที่เคยนำเสนอมาแล้วในปีก่อน ต่อมากับ CHANEL ในธีมของสไตล์การทำงานแบบโอ๊ตกูร์ตูร์ของแบรนด์กับ J12 ใหม่ที่มาพร้อม Gabrielle Chanel ที่ถือกรรไกรและพร้อมจะขยับตัวตามการทำงานของกลไก และแสดงให้เห็นบนหน้าปัด พร้อมลวดลายที่แสดงให้เห็นห้องทำงานของเธอ
อีกเรือนจาก CHANEL ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ J12 ที่มาพร้อมการเซ็ตติ้งเพชรแบบบาเก็ตด้านข้างตัวเรือน และทุกข้อสาย ในตัวเรือนและสายแบบเซรามิคที่ผนวกทั้งสีดำและขาวเข้าด้วยกัน รวมถึงการกลับมาของ Toric จาก PARMIGIANI Fleurier ด้วยตำนานนาฬิกาแบบแรกของแบรนด์ที่ผู้คนถามถึง พร้อมชุดกลไกใหม่ล่าสุด พร้อมกันนี้ก็ยังมีการนำเสนอในแบบกลไกโครโนกราฟ ที่ผลิตในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่นไปพร้อมกันด้วย
พร้อมกันนี้ก็นำเสนอ Tonda PF Skeleton ในตัวเรือนและสายที่ผลิตจากแพลทตินัม ที่มาคู่กับหน้าปัดโทนสีนำเงินจากโครงสร้างแบบสเกเลตันที่ดูโดดเด่นในทันทีที่เห็น รวมทั้งเซอร์ไพร้ส์ของ Tonda PF Micro Rotor ที่มาพร้อมกับแบบไม่มีวันที่ กับหน้าปัดสีใหม่ล่าสุดที่โดดเด่น และแตกต่างจากรุ่นเดิม ปิดท้ายด้วยคล็อคเรือนยูนีคพีซ ที่อลังการด้วยตัวมังกรที่บินทะยานขึ้นฟ้า พร้อมรายละเอียดในที่มีมากมายในแต่ละจุด
และสำหรับ JAEGER-LeCOULTRE ที่ปีนี้มาในธีมที่แสดงให้เห็นถึงความเที่ยงตรง และนำDuometer มานำเสนอในรูปแบบใหม่ พร้อมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมากมายกับนาฬิการุ่นนี้ ส่วน ORIS นำนาฬิการุ่น Aquis กลับมาปรับปรุงและนำเสนอใหม่ทั้งหมดในปีนี้ โดยยกทัพนำรุ่น สีสัน และขนาดต่างๆ มานำเสนอแบบครบทีม ในสไตล์ที่ยังคงเป็น ORIS อย่างเต็มตัว พร้อมการเน้นถึงความสลีคของตัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น
กับ PATEK PHILIPPE ที่นำ Golden Ellipse มานำเสนอใหม่ในปีนี้ พร้อมสายแบบสร้อยข้อมือที่ต้องใช้ความสามารถในการผลิตระดับสูง นำเสนอพร้อมกันกับ New World Time ที่สามารถแสดงวันที่บนหน้าปัดได้อย่างชาญฉลาด ด้วยเข็มแสดงวันที่แบบก้ามปูที่เดินกวาดรอบหน้าปัด แต่ไม่รบกวนสายตาจากการผลิตด้วยแซฟไฟร์อันโปร่งใส และคงความชัดเจนด้วยปลายเข็มสีแดง เพื่อการอ่านค่าที่ง่ายดาย
นอกจากนี้ยังมี Aquanaut Travel Time ในโทนสีใหม่อันแสนสดใสในตัวเรือนไวท์โกลด์ พร้อมกันกับ Nautilus แบบโครโนกราฟในโทนสีเดียวกัน ที่มากับสายสไตล์เดนิมให้ลุคสบายๆ มากขึ้น ต่อมากับ CZAPEK&CIE. ที่นำเสนอ Antarctique ในรูปแบบฟูลโกลด์เป็นครั้งแรก ให้ความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าของทองคำ พร้อมหน้าปัดสีน้ำเงินและการขัดลายแบบซาติน ที่ดูตัดกันในทันทีกับตัวเรือนและสาย
FREDERIQUE CONSTANT กับนาฬิกาแบบ Manufacture หรือกลไกแบบอินเฮ้าส์ที่มาพร้อมกับ การแสดงเวลา วันที่ และมูนเฟส หรือแบบไม่มีมูนเฟส พร้อมความคลาสสิคเต็มรูปแบบในสไตล์ของแบรนด์เช่นเคย ต่อมากับ Black Bay จาก TUDOR ที่มาในสไตล์เงียบขรึมของโทนสีดำยอดนิยม และนำเสนอมาพร้อมกับสายแบบ 3 ท่อนหรือ 5 ท่อนที่คุ้นเคยกันดี หรือแม้กระทั่งกับสายยางยอดนิยม ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดาย
รวมไปถึงแบบตัวเรือนทองคำทั้งเรือน ที่เป็นการต่อยอดจากการนำเสนอในปีก่อนๆ ที่มาพร้อมกับสายแบบผ้าและหนัง นอกจากนี้ยังมี H.MOSER&CIE. ที่นำเสนอ Streamliner ในกลไกแบบตูร์บิยองสเกเลตันอันโดดเด่น และงดงามในระดับสูงสุด ปิดท้ายด้วย HERMES กับนาฬิกากลไกตูร์บิยองและมินิทรีพีทเตอร์ ที่แสดงการทำงานให้เห็นบนหน้าปัด และ Hermes Cut นาฬิการุ่นล่าสุดที่มีสายแบบอินทิเกรด ที่นำเสนอในปีนี้