MB&F HM8 Mark 2 กับการกลับสู่ความฝันอีกครั้ง
ความเชื่อมโยงกับรถยนต์ของ MB&F นั้นหยั่งรากลึกนับตั้งแต่ปี 2012 ด้วยผลงานรุ่น HM5 ตามมาด้วย HMX ในปี 2015 และ HM8 ในปี 2016 โดยแต่ละผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกันผ่านการแสดงเวลาสไตล์มาตรวัดความเร็วบนด้านข้างของตัวเรือนอันเป็นที่จดจำได้ในทันทีที่เห็นทั้งยังเชื้อชวนให้นึกถึงงานออกแบบอันกล้าหาญแห่งอนาคตของยุค 70s อีกด้วย โดยหนึ่งทศวรรษหลังจากที่เหล่า MB&F Machines รุ่นแรกๆ ที่มีแรงบันดาลใจมาจากยนตรกรรมได้ถูกรังสรรค์ขึ้น ในวันนี้ผลงานสุดสร้างสรรค์ของแบรนด์ก็พร้อมที่จะเปิดผ้าคลุมอีกครั้ง เพื่อเผยโฉมความโดดเด่นใหม่ล่าสุดของ HM8 Mark 2
ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นเพียงรหัสงานออกแบบของเรือนเวลาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งยนตรกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโครงสร้างตัวถังอีกด้วย ที่ Max ได้ใช้ความรู้จากการจบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ของเขาเองมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นในผลงานรุ่น HM5 และ HM8 Mark 2 ที่สร้างขึ้นจากโครงตัวเรือนอิสระกันน้ำได้ ซึ่งประกอบเสริมด้วยผนังตัวถังของนาฬิกา ในขณะที่ HMX และ HM8 ยังใช้โครงสร้างแบบชิ้นเดี่ยวหรือโมโนบล็อก โดยสำหรับ HM8 Mark 2 ตัวถังยังมาพร้อมกับตัวเลือกของวัสดุคาร์บอนมาโครลอน (CarbonMacrolon®) ทั้งในโทนสีขาวหรือสีเขียวบริติชเรซิ่ง (British Racing Green)
พร้อมผ่านการตกแต่งแบบด้านและขัดเงาพิเศษด้านข้างโดยสำหรับเวอร์ชั่นสีขาวยังจับคู่มากับโรเตอร์ซีวีดีสีเขียว และเครื่องหมายหรือมาร์เกอร์แสดงนาทีสีเขียวอ่อน ขณะที่เวอร์ชั่นสีเขียวบริติชเรซิ่ง จะมาพร้อมกับโรเตอร์เรดโกลด์และบาลานซ์วีล พร้อมทั้งมาร์กเกอร์แสดงนาทีสีเทอร์ควอยซ์ ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน โดยคาร์บอนมาโครลอน เป็นวัสดุที่พัฒนาขึ้นพิเศษเฉพาะสำหรับ MB&F ซึ่งจัดเป็นวัสดุคอมโพสิทที่ประกอบขึ้นด้วยโพลีเมอร์เมทริกซ์ฉีดท่อนาโนคาร์บอน (Carbon Nanotubes) ซึ่งเสริมทั้งความหนาแน่นและความแข็งแกร่งโดยท่อนาโนคาร์บอนมอบซึ่งความแข็งแรงที่เหนือชั้นกว่า
กับความแข็งที่มากกว่าการผนึกคาร์บอนไฟเบอร์แบบทั่วไปทั้งยังสามารถให้สีสัน ผ่านการขัดเงา ขัดบีดบลาสต์ (Bead-blasted) เคลือบแล็กเกอร์ หรือขัดด้านแบบซาตินได้และนอกเหนือจากคุณประโยชน์ทั้งหมดเหล่านี้แล้ว น้ำหนักซึ่งมีความเบากว่าสตีลถึงแปดเท่าของวัสดุ ยังมอบซึ่งความหลากหลายในการใช้งานได้อย่างสูงสุด และเป็นที่สนใจจากทั้งมุมมองของงานออกแบบและคุณสมบัติทางเทคนิคชั้นยอดอีกด้วย ซึ่งก็เหมือนกับรถซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์อื่นๆ ที่เทคโนโลยีมากมายภายใน HM8 Mark 2 นี้ไม่อาจมองเห็นได้ทางภาพหรือด้วยตา เริ่มตั้งแต่ด้วยตัวถังไทเทเนียม ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมากในการผลิตด้วยเครื่องจักร
หรือแม้แต่ในสตีลที่นับว่ามีความซับซ้อนอย่างมากในการสร้างสรรค์ แต่ด้วยเพราะความแข็งของโลหะผสมนี้ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งงานอันท้าทายของทีมช่างเทคนิคของMB&Fในการทดสอบ เช่นเดียวกันกับผนังตัวเรือนคาร์บอนมาโครลอน ที่เนื่องจากเป็นการผลิตในจำนวนน้อย จึงจำเป็นต้องเจาะสกัดตัวเรือนจากวัสดุแท่งเดียว และเสริมด้วยอีกหนึ่งชั้นของความซับซ้อนให้กับตัวเรือน ซึ่งจากประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนานของ MB&F ที่มุ่งผลักซึ่งขีดข้อจำกัดสู่สิ่งที่สามารถเป็นไปได้ทางกายภาพอยู่เสมอโดยเฉพาะในแง่ของการผลิตกระจกแซฟไฟร์ ซึ่งเกิดขึ้นใน HM8 Mark 2 เช่นเดียวกัน
ที่การสร้างสรรค์กระจกแซฟไฟร์โค้งคู่นี้สามารถบรรลุความซับซ้อนในการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่า 30 ถึง 40 เท่าของการผลิตกระจกแซฟไฟร์โค้งโดมแบบทั่วไป และมีเพียงผู้ผลิตหนึ่งเดียวที่กล้ารับภารกิจอันแสนท้าทายนี้ โดยในระหว่างหลายชั่วโมงที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตกระจกแซฟไฟร์แต่ละชิ้นนั้น ยังมีความเสี่ยงของการแตกที่สูงมาก และหากมีแนวโน้มที่จะแตก ก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายมากๆ ของการผลิต และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการสร้างสรรค์ที่ผ่านมาทั้งหมด แต่หากผ่านกระบวนการผลิตได้สำเร็จและพร้อมที่จะติดตั้งเข้ากับเรือนเวลาแล้ว ก็ยังต้องมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับกระจกแซฟไฟร์ทั่วไปอีกด้วย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดยังรวมถึงความโดดเด่นของโรเตอร์รูปทรงขวานรบที่ขับเคลื่อนกลไกอันเป็นความซับซ้อนน่าทึ่งในการสร้างสรรค์ เนื่องจากส่วนหนึ่งของใบมีดที่ผลิตจากทองคำจะมีความหนาเพียงสองในสิบของมิลลิเมตรเท่านั้น จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่จะผ่านการผลิตขึ้นรูป แต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการแสตมป์ พร้อมทั้งการแกะสลักที่จำเป็นต้องผสานลงสู่กระบวนการแสตมป์ได้อย่างกลมกลืน รวมไปถึงเม็ดมะยมที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกของโลกที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่ใต้ประทุน แต่เป็นเหมือนการซ่อนอยู่ โดยเม็ดมะยมชนิดใหม่นี้ใช้ระบบ “ดับเบิลดีคลัทช์” (Double De-Clutch) ตามแบบอุตสาหกรรมยานยนต์
ที่จะทำงานผ่านการกดเม็ดมะยมลง และหมุนไปสามในสี่ส่วนของหนึ่งการหมุนเพื่อคลายเม็ดมะยม ซึ่งมีข้อดีของการเพิ่มพื้นที่ได้มากขึ้น และมอบความปลอดภัยเสริมให้กับระบบที่นับเป็นข้อดีอย่างแท้จริงเช่นกันสำหรับนาฬิกาสปอร์ตทั้งหมดนี้จึงนับได้ว่าภายใต้ผลงานรุ่นล่าสุด MB&F ได้ใช้ทุกสิ่งที่แฟนๆ เคยหลงรักมาแล้ว ในซีรี่ส์แห่งยานยนต์ในตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และยกระดับซึ่งความสามารถทางเทคนิคที่สูงขึ้น เสริมด้วยประสิทธิภาพและความสามารถในการอ่านค่าที่ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเซ็กซี่กว่าและง่ายดายกว่าในการสวมใส่บนข้อมือเพื่อย้ำเตือนว่าไม่ว่าจะใช้ชีวิตมาจนถึงจุดใด ก็ไม่เคยช้าไปที่จะเดินตามฝันได้เสมอ