ULYSSE NARDIN Freak X Aventurine
ย้อนกลับสู่ปี 2001 ที่การประดิษฐ์นาฬิกานั้นยังคงมีพื้นฐานมาจากหลักการที่สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างมั่นคงตลอด 180 ปีเมื่อ Mr. Lépine ได้ประดิษฐ์คิดค้นโครงสร้างของกลไกที่ประทับไว้ด้วยชื่อของเขา โดยประกอบขึ้นจากแท่นกลไก เฟือง และกระปุกลาน พร้อมสะพานจักรด้านบน กระทั่งราวปี 1845 Mr. Adrien Philippe ก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นชุดเม็ดมะยมขึ้น เพื่อแทนที่กุญแจไขลานอันเทอะทะ จนหลังจากนั้น ULYSSE NARDINE จึงได้ทิ้งทุกสิ่งไว้ในอากาศ และเริ่มจินตนาการถึงภาพของ Freak…!
และในปี 2019 Freak X จึงได้ถือกำเนิดขึ้น พร้อมความอัจฉริยะของกลไกอันเพรียวบาง แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณตามแบบฉบับของ Freak โดยเป็นนาฬิกา Freak รุ่นแรกที่ใช้เม็ดมะยมติดตั้งทางด้านขวามือของตัวเรือน จนถึงในปี 2022 นี้ ณ งาน Watches and Wonders ในเจนีวา ULYSSE NARDIN ก็ยังคงเดินหน้าสำรวจสู่มหากาพย์ด้านการเดินทาง นับจากใต้ท้องทะเลลึกสู่จักรวาลต่างๆ โดยการนำเสนอเวอร์ชั่นอันแวววาวเจิดจรัสของ Freak กับการตกแต่งอย่างงดงามของอะเวนจูรีนสีน้ำเงิน
ดั่งเสี้ยวแห่งอุโมงค์สวรรค์ ที่จักรวาลซึ่งพร่างพราวไปด้วยผงขนาดเล็ก โปรยปรายและแวววาวเจิดจรัสอย่างไม่สิ้นสุด ได้นำมาสู่การตกแต่งอย่างรังสรรค์และสง่างามบนเรือนเวลา กับมิติอันแวววับระยิบระยับที่สามารถชื่นชมได้ เสมือนกับที่เหล่านักแล่นเรือมักสังเกตเห็นจากแสงระยิบระยับบนพื้นผิวมหาสมุทร ท่ามกลางความมืดของราตรีใต้แสงจากพระจันทร์ โดยพื้นผิวแห่งท้องทะเลนั้นมักจะมอบซึ่งนัยยะ สู่ปริศนาและความลับใต้ท้องทะเลลึกเฉกเช่นอะเวนจูรีน ที่เป็นดั่งวัสดุในอุดมคติที่เชื้อชวนให้ออกเดินทาง
แม้ว่าดวงดาวจะปรากฏราวกับกระจัดกระจายสุ่มไปทั่วจักรวาล แต่ก็ไม่เคยมีสิ่งใดที่ถูกทิ้งไว้ “โดยบังเอิญ” เช่นเดียวกับในผลงานเหล่านี้ โดยตำนานซึ่งรายล้อมเรื่องราวของอะเวนจูรีนนั้น ได้ถูกเล่าขานใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงช่วงเวลาในศตวรรษที่ 13 ณ เกาะมูราโนของเวนิส อันเป็นบ้านเกิดของบรรดาช่างเป่าแก้วชื่อดัง โดยมีช่างฝีมือผู้ค้นพบโดยบังเอิญ จากการปล่อยให้ผงทองแดงเล็กน้อยร่วงหล่นลงในเบ้าหลอมแก้ว และรังสรรค์จนกลายเป็นแก้วอะเวนจูรีน หรือ “avventurina” ในภาษาอิตาลีซึ่งมีความหมายว่า “โดยบังเอิญ”
Freak X Aventurine จะประกอบไปด้วยบาลานซ์วีล, แองเคอร์ และเอสเคปเมนท์วีล ที่ผลิตจากซิลิเซียม ในขณะเดียวกันก็ยังคงตอกย้ำถึงงานออกแบบอันเพรียวบาง ในนาฬิกาตัวเรือนขนาด 43 มิลลิเมตร ที่ได้ปลุกฟื้นชีวิตชีวาให้กับสายเลือดแห่งบรรพบุรุษ Freak ของตนอย่างแท้จริง โดยการผสมผสานของกลไกคาลิเบอร์ UN-118 และ UN-250 สู่กลไก UN-230 ที่ทำงานหมุนรอบตัวเองในทุกๆ ชั่วโมงเพื่อแสดงเวลา ทั้งยังทำหน้าที่เป็นเข็มชี้นาที ซึ่งหมุนรอบวงกลมเหนือแผ่นอะเวนจูรีนที่นำมาตกแต่งกลไก
โดยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการทำงาน ของบาลานซ์วีลซิลิเซียมขนาดใหญ่พิเศษและน้ำหนักเบามาก พร้อมด้วยบล็อคความเฉื่อยนิกเกิลที่ทำงานด้วยความถี่ 3 เฮริท์ซ ภายใต้ความสง่างามของตัวเรือนไทเทเนียมพีวีดีสีน้ำเงินและโรสโกลด์ 5N ที่มอบภาพลักษณ์อันโดดเด่นและแตกต่าง ด้วยความโค้งกลมมนอันแสนนุ่มนวล ใช้งานคู่กับสายหนังจระเข้สีน้ำเงินพร้อมงานเย็บตะเข็บสีเทาอ่อน และชุดล็อคสายแบบบานพับที่ผลิตจากไทเทเนียมเคลือบพีวีดีสีน้ำเงินและโรสโกลด์ 5N โดยจะผลิตขึ้นในแบบจำนวนจำกัดเพียง 99 เรือนทั่วโลกในราคาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่ 36,000 สวิสฟรังก์