BANGKOK INDEPENDENT WATCHMAKING EXHIBITION 2019
นาฬิกากลุ่มอินดิเพนเดนซ์ จะมีรูปแบบและลักษณะที่ไม่ตายตัว แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญก็คือ ความโดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค รูปแบบ หรือวิธีการผลิต ตามแล้วแต่แบรนด์นั้นๆ จะสรรค์สร้างผลงานขึ้นมา ซึ่งสองแบรนด์อินดิเพนเดนซ์นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่น และสีสันของนาฬิกาในกลุ่มอินดิเพนเดนซ์ ที่จะนำมาจัดแสดงในงาน BIWE 2019 นี้ รวมทั้งสร้างนาฬิกาเรือนยูนีคพีซ เพื่อการประมูลสำหรับงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
Mr. Stefan Kudoke ช่างนาฬิกาชาวเยอร์มัน เจ้าของนาฬิกาแบรนด์ KUDOKE หนึ่งในสมาชิกของ AHCI (Academie Horlogere des Createurs Independents) ผู้เคยมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว กับแบรนด์นาฬิกาหลายแห่งตั้งแต่ GLASSHÜTTE ORIGINAL, BREGUET และ BLANCPAIN โดยมีความโดดเด่นด้านการแกะสลักที่แตกต่าง และเน้นการทำงานกับกลไกแบบสเกเลตัน ที่ยากและมีไม่กี่แบรนด์ ที่จะเลือกผลิตจากลักษณะเดียวกันนี้ออกสู่ตลาด
KUDOKE White Elephant Unique Piece เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของงานกลไกแบบสเกเลตัน ที่โครงสร้างของกลไกทั้งหมด จะถูกเจาะและเปิดให้เห็นการทำงานในเกือบทุกส่วน ของกลไกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยจะมีการแกะสลักในส่วนของโครงสร้างทั้งหมดที่ สามารถมองเห็นได้ผ่านกระจกแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมความโดดเด่นของแผ่นแอพพลิครูปช้างเผือกไทยบริเวณ 12 ถึง 2 นาฬิกา ที่มีการแกะสลักลายเส้นให้เห็นถึงริ้วรอยของหนังช้าง รวมถึงลักษณะเด่นของช้างเผือกไทยทุกประการ โดยภาพช้างเผือกไทยนี้ เป็นภาพที่ได้ต้นแบบจากทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ให้ความร่วมมือในการนำเสนอ จุดเด่นและเอกลักษณ์สำคัญของความเป็นไทย เพื่อผลิตเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมเพียงชิ้นเดียวในโลกเรือนนี้
ตัวเรือนสตีลขนาด 42 มิลลิเมตร กลไกไขลาน ETA คาลิเบอร์ 6498 (UNITAS) พร้อมพลังสำรองลานนาน 46 ชั่วโมง เจาะ ขัด แต่ง และแกะสลักด้วยมือ รวมทั้งการแกะสลักบนแผ่นแอพพลิครูปช้างเผือกไทย ที่เห็นได้อย่างโดดเด่นบนหน้าปัด ผลิตแบบยูนีคพีซเพียงเรือนเดียวในโลก ในราคารีเสริฟที่ 348,840 บาท
LODOVIC BALLOUARD Half Time Thailand Edition เป็นนาฬิกาจาก Mr. Lodovic Ballouard ผู้มีแนวคิดในการสร้างนาฬิกาและแสดงเวลาในรูปแบบที่แตกต่าง นอกจากเคยทำงานให้กับแบรนด์ต่างๆ มากมายแล้ว ผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งคือนาฬิกา HARRY WINSTON รุ่น Opus XIII ที่โด่งดัง และได้รับการคัดเลือก พร้อมการนำเสนอในงาน Baselworld 2013 มาแล้ว
Mr. Lodovic Ballourard มีแนวคิดการให้ความสำคัญที่สุดกับเวลาในปัจจุบัน ดังนั้นตั้งแต่นาฬิการุ่น Upside Down รุ่นแรกที่ออกสู่ตลาดในปี 2009 จนกระทั่งถึงรุ่น Half Time ในปัจจุบัน จึงให้ความสำคัญกับเฉพาะเวลาปัจจุบัน โดยทำให้สามารถอ่านค่าได้เฉพาะเวลาปัจจุบันเท่านั้น (ในภาพคือ 10.53)
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบที่แผงความเป็นไทยตามคอนเซ็ปท์ เข้าไปได้อย่างลงตัวและสวยงาม ตั้งแต่การเลือกใช้สีของธงไตรรงค์บนหน้าปัด โดยสีแดงที่หมายถึงชาติ จะอยู่รอบนอกหน้าปัด สีขาวที่หมายถึงศาสนา จะอยู่รอบวงกลางในหน้าปัด และสีน้ำเงินที่หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพและเทิดทูนของปวงชนชาวไทย จะอยู่กึ่งกลางของหน้าปัด ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของไทยทั้งชาติ ในขณะที่ตัวเลขอื่นๆ จะประกอบกัน และปรากฏขึ้นที่บริเวณ 12 นาฬิกา บนรอบหน้าปัดพื้นสีแดง และจะมีเพียงเลข 10 เท่านั้นที่เป็นสีขาว อันหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ที่ 10 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบัน
ตัวเรือนเรดโกลด์ขนาด 41 มิลลิเมตร หนา 11 มิลลิเมตร ทำงานด้วยกลไกไขลานอินเฮ้าส์ คาลิเบอร์ B02 พร้อมพลังสำรองลานนาน 35 ชั่วโมง กระจกแซฟไฟร์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อเผยให้เห็นการทำงานที่สลับซับซ้อนของกลไกได้อย่างชัดเจน เข้าคู่กันกับสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน ผลิตยูนีคพีซเพียงเรือนเดียวในโลก ในราคารีเสริฟที่ 2,945,250 บาท
นาฬิกาทั้งสองเรือนนี้ จะมีการประมูลขึ้นพร้อมกันกับอีก 6 เรือนในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2019 ที่ GAYSORN Urban Resort พร้อมการพูดคุย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในเรื่องของนาฬิกาแนวอินดิเพนเดนซ์ กับช่างนาฬิกาและตัวแทนของแบรนด์ต่างๆ อย่างลึกซึ้ง