RADO Hyperchrome Bronze Chronograph Limited Edition เอดิชั่นพิเศษที่แฝงอารมณ์วินเทจไว้ในร่างนาฬิกาสปอร์ตสไตล์โมเดิร์นตัวเรือนเซรามิก

 

ปัจจุบันนี้ RADO หนึ่งในแบรนด์เก่าแก่ของสวิส มักจะทำนาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ๆ ออกมาในแนวโมเดิร์นกันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในแง่ของดีไซน์และในแง่ของวัสดุตัวเรือนและสายที่มักจะเป็น “ไฮเทค เซรามิก” ซึ่งเป็นการสืบทอดเจตจำนงของรุ่นพ่ออันได้แก่การนำวัสดุที่สามารถป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนได้มาใช้ทำตัวเรือนอันเริ่มตั้งแต่วัสดุทังสเตน (ซึ่ง RADO เรียกว่า ฮาร์ดเมทัล) ในสมัยรุ่น DiaStar 1 ที่เปิดตัวเมื่อปี 1962 จนกระทั่งในปี 1986 ก็เริ่มนำวัสดุไฮ-เทคเซรามิกมาใช้ทำตัวเรือนกับสายเพราะมีคุณสมบัติที่ทนต่อการเกิดรอยได้เหมือนกับทังสเตนแต่มีน้ำหนักเบากว่า ซึ่งในปัจจุบันนอกจากวัสดุ ไฮ-เทค เซรามิก ที่สามารถฟินิชผิวได้ทั้งแบบเงาวาวและแบบผิวด้านแล้ว ทาง RADO ก็ยังมีการพัฒนาอีกขีดขั้นของวัสดุเซรามิกอย่าง พลาสม่า ไฮ-เทค เซรามิก และเซรามอส ขึ้นมาใช้ด้วย แต่เมื่อกระแสวินเทจกำลังเชี่ยว จะให้ทาง RADO เน้นแต่สไตล์โมเดิร์นก็คงจะตกขบวน ดังนั้นทางแบรนด์จึงได้ทำการเปิดตัวนาฬิกาเวอร์ชั่นใหม่ของตระกูลนาฬิกาดีไซน์โมเดิร์น HyperChrome ในแบบ Chronograph สไตล์สปอร์ต ที่นำเอาลักษณะตามแบบฉบับวินเทจเข้ามาผสมผสานจนเกิดสิ่งใหม่เป็นนาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟสไตล์โมเดิร์นวินเทจเอดิชั่นนี้ซึ่งเป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดแค่ 999 เรือน

 

Rado HyperChrome Bronze Chronograph 3

 

พื้นฐานของ HyperChrome Bronze Chronograph Limited Edition เอดิชั่นนี้ก็คือ นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟ ดีไซน์สมัยใหม่รุ่น HyperChrome Automatic Chronograph ตัวเรือนขนาด 45 มม. หนา 13 มม. ผนึกกระจกหน้าปัดแซฟไฟร์เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน กันน้ำได้ 100 เมตร แบบเอดิชั่นที่ใช้ตัวเรือน ไฮ-เทค เซรามิก สีดำ พร้อมสลักสเกลทาคีมิเตอร์ลงแล็กเกอร์สีขาวบนวงขอบตัวเรือนอันเงางาม คู่กับหน้าปัดสีดำที่มีการผสมผสานลักษณะการตกแต่งแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดมิติที่หลากหลาย นั่นก็คือ การขัดลายแบบแนวดิ่งบริเวณส่วนกลางล้อมด้วยวงสเกลวินาทีสีขาวบนพื้นลายเซอร์คูล่าร์ และตกแต่งลายเซอร์คูล่าร์บนวงหน้าปัดขนาดเล็ก 2 วงที่ตำแหน่ง 3 กับ 9 นาฬิกา พร้อมเสริมบุคลิกความหรูด้วยการเคลือบโรสโกลด์บนชิ้นหลักชั่วโมงที่มีทั้งแท่งเคลือบสารเรืองแสง ซูเปอร์ลูมิโนว่า สีขาว และเลขอารบิก กับเข็ม และชิ้นสมอแกว่งได้อันเป็นเอกลักษณ์ของ RADO โดยส่วนกลางของเข็มชั่วโมงกับนาทีและวินาทีถูกเคลือบด้วยสีดำเพื่อให้อ่านค่าได้อย่างชัดเจน และเคลือบสารเรืองแสงมาให้บนเข็มชั่วโมงกับนาที

 

Rado HyperChrome Bronze Chronograph 1

 

การปรับรูปแบบการตกแต่งที่ทาง RADO กระทำลงไปเพื่อให้กลายเป็นเอดิชั่นบรอนซ์ ก็คือ การเปลี่ยนวัสดุของชิ้นส่วนด้านข้างของตัวเรือน ปุ่มกด และเม็ดมะยม จากสตีลเคลือบพีวีดีสีโรสโกลด์ของเอดิชั่นที่เป็นพื้นฐาน มาเป็นวัสดุบรอนซ์ CuSn8 ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวที่ใช้ทำอุปกรณ์การเดินเรือ เพื่อสร้างอารมณ์วินเทจให้บังเกิด และแทนที่สายวัสดุ ไฮ-เทค เซรามิก สีดำ ด้วยสายหนังสีน้ำตาลเข้มฟอกสไตล์วินเทจและเย็บตะเข็บด้วยด้ายสีขาว ล็อคด้วยบานพับวัสดุสตีล เพื่อขับอารมณ์วินเทจให้ออกมาอย่างชัดเจน

Rado HyperChrome Bronze Chronograph 5

Rado HyperChrome Chronograph Bronze Chronograph

เทียบให้เห็นกันชัดๆ ระหว่างเรือนซ้ายที่เป็น HyperChrome Automatic Chronograph เวอร์ชั่นปกติ

กับเรือนขวาที่เป็นเวอร์ชั่นบรอนซ์ HyperChrome Bronze Chronograph Limited Edition

 

ขุมกำลังของนาฬิกาเวอร์ชั่นนี้เป็นเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติฟังก์ชั่นโครโนกราฟ จับเวลา 12 ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชั่นวันที่ ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง กำลังสำรอง 42 ชั่วโมง ETA 2894-2 ซึ่งเมื่อมองผ่านกระจกแซฟไฟร์บนฝาหลังจะมองเห็นกลไกที่มีการตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้สวยงามกว่าเครื่องมาตรฐานของ ETA รวมไปถึงโรเตอร์เคลือบสีดำของ RADO ได้อย่างชัดเจน และบนขอบฝาหลังก็จะมีข้อความสลักบ่งบอกความพิเศษว่า LIMITED EDITION ONE OUT OF 999 โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 4,900 สวิสฟรังก์

 

Rado HyperChrome Bronze Chronograph 4

 

By: Viracharn T.