มรดกแห่ง KING SEIKO จากปี 1965 ที่สืบทอดถึงปัจจุบัน

หาก GRAND SEIKO คือตัวแทนแห่งความสำเร็จจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของ SEIKOก่อนที่จะแยกตัวออกมาเป็นอิสระ KING SEIKO ก็จะเปรียบได้ดั่งต้นกำเนิดของแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์นี้เช่นกัน โดยประวัติศาสตร์ KING SEIKO นั้นนับได้ตั้งแต่การเปิดตัวนาฬิกาเรือนแรกขึ้นในปี 1961 โดยตามหลังการแนะนำ GRAND SEIKO สู่ตลาดเพียงหนึ่งปี โดยอีกเพียง 4 ปีให้หลัง ‘KING SEIKO KSK’ ซีรี่ส์ที่สองก็เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก โดยออกแบบให้ทำงานด้วยกลไกอินเฮ้าส์ไขลาน

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.26.03

Mr. Kintaro Hattori

 

และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็คือการเน้น เหลี่ยมมุมของตัวเรือนในรูปลักษณ์ที่ร่วมสมัย ซึ่งทำให้ KING SEIKO KSK นั้นขึ้นแท่นกลายเป็นนาฬิการุ่นที่ได้รับความนิยม อย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จอย่างมากในเวลานั้น  ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของ Mr. Kintaro Hattori ผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่อยากพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า และพลักดันให้เกิดการแข่งขันภายในองค์กร จากสองโรงงานหลักนั่นก็คือ Suwa Seikosha ซึ่งผลิตนาฬิกา GRAND SEIKO และ Daini Seikosha ผู้ผลิตนาฬิกา KING SEIKO

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.37.21นาฬิการุ่นดั้งเดิมที่ผลิตในปี 1965

 

โดยในปี 1965 หรือ 4 ปีหลังจาก KING SEIKO เรือนแรกถือกำเนิดขึ้น นาฬิกาในซีรี่ส์ที่ 2 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า KING SEIKO KSK ก็ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นและมาพร้อมกับการออกแบบ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีลักษณะที่เด่นชัดและมีความคลาสสิคมาโดยตลอด จากการที่ตัวเรือนได้รับการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุม ที่เฉียบคมเช่นเดียวกับประสิทธิภาพการใช้งานในระดับสูง ดังนั้นการนำองค์ประกอบที่โดดเด่นของ KING SEIKO KSK กลับมาสร้างสรรค์ใหม่จึงเป็นการดึงเอา ในทุกรายละเอียดที่เหมาะสมกลับมาใช้

Screen Shot 2565 07 07 at 05.15.52

 

ซึ่งนาฬิการุ่นใหม่นี้จะมีจุดดึงดูด พร้อมความโดดเด่นของหน้าปัดสีเงินแชมเปญ กับชุดเข็มและหลักชั่วโมงสีทอง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสง่างามบนรูปแบบดั้งเดิม ที่เคยประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับอย่างล้นหลาม ซึ่งแม้ว่านาฬิการุ่นนี้จะมาพร้อมกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติ แต่ก็ยังมีความเพรียวบางได้ในลักษณะเดียวกันกับรุ่นดั้งเดิม จากกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 6L35 ที่ทรงพลังในด้านประสิทธิภาพการทำงาน แต่มีขนาดที่เล็กและเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.44.00

 

นาฬิการุ่นใหม่เป็นการผสมผสานระหว่างหน้าปัดที่แบบเรียบ หลักชั่วโมงทรงเหลี่ยมตัด และเข็มนาฬิกาทรงปลายแหลม ที่รวมกันสะท้อนให้เห็นถึงการรักษาเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม ของการออกแบบอันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของนาฬิกาในรุ่นปี 1965 ที่ขาสายถูกออกแบบให้มีทรงปลายแหลมเช่นเดียวกับรุ่นดั้งเดิม พร้อมความแบนราบและกว้างออก โดยเหลี่ยมมุมที่เกิดขึ้นบนตัวเรือนจะมีความเฉียบคม อันเป็นผลมาจากการขัดตัวเรือนด้วยเทคนิคซารัทซึ (Zaratsu) ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ SEIKO

Screen Shot 2565 07 07 at 05.36.06

โดยให้ภาพสะท้อนที่จะไม่ผิดเพี้ยนและราวกับการส่องกระจก กรุด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงกล่อง (Boxed-Shaped) ที่ได้รับการเคลือบสารป้องกันการสะท้อนแสงที่พื้นผิวด้านใน เพื่อช่วยยกระดับความคมชัดในการมองเห็นและอ่านค่าเวลาบนหน้าปัดไปอีกระดับ นอกจากนี้ตัวเรือนยังได้รับการปกป้องจากรอยขูดขีด ด้วยกรรมวิธีการเคลือบแบบพิเศษที่เรียกว่าซุปเปอร์-ฮาร์ดโค๊ตติ้ง (Super-Hard Coating) เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้นผิว พร้อมเพิ่มความทนทานของพื้นผิวต่อรอยขูดขีดต่างๆ

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.17.17

 

ฝาหลังของนาฬิกามีการสลักชื่อ KING SEIKO พร้อมโล่สัญลักษณ์ที่เป็นแบบเดียวกับรุ่นดั้งเดิม โดยชื่อของ SEIKO และเครื่องหมาย W ที่ปรากฏอยู่บนเม็ดมะยมจะเป็นการบ่งบอก ถึงความสามารถในการกันน้ำ (Water proof) ขณะที่หัวเข็มขัดล็อคสายได้รับการออกแบบใหม่ แต่ยังคงรูปแบบและดีไซน์ดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างคลาสสิค จากการทำงานของกลไกในระดับ 28,800 รอบต่อชั่วโมง (8 ครั้งต่อวินาที) และให้พลังสำรองลานนาน 45 ชั่วโมง พร้อมฝาหลังแบบขันเกลียวแน่น

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.16.35

 

และมีขนาดตัวเรือนที่ 38.1 มิลลิเมตร หนา 11.4 มิลลิเมตร พร้อมความสามารถในการการกันน้ำที่ระดับ 5 บาร์ และความทนทานต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ระดับ 4,800 A/m ใช้งานคู่กันกับสายหนังจระเข้ โดยนาฬิกาใน Ref. SJE087 นี้จะมีจำนวนในการผลิตแบบจำกัดเพียง 1,700เรือนทั่วโลกเท่านั้น และจะมีจัดจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 35 เรือน โดยจะมีการวางจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม โซน M ชั้น Main Hall 2 กับราคาจำหน่ายในประเทศไทยที่ 123,000 บาท

 

Screen Shot 2565 07 07 at 05.46.39

 

 GS 07 2022