MEISTER COLLECTION สืบสานตำนานเก่าแก่ของ JUNGHANS แห่งเยอรมนีด้วยงานดีไซน์ร่วมสมัย

  

นาฬิกาจากเยอรมนี เป็นนาฬิกาที่มีรูปแบบเฉพาะตัว ทั้งลักษณะอันแข็งแกร่งแฝงความละมุนเป็นเอกลักษณ์และหน้าตาที่เรียบง่ายแต่จริงจังตามสไตล์คนเยอรมัน โดยมีให้เลือกเป็นเจ้าของกันมากมายหลายแบรนด์ แต่แบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราอย่างจริงจังกลับมีไม่มากนัก JUNGHANS (ยุงฮันส์) เป็นอีกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในการทำนาฬิกามานาน นับถึงปัจจุบันก็มีอายุกว่า 150 ปีแล้ว ในบทความครั้งก่อน IAMWATCH ได้เล่าถึง Max Bill นาฬิกาซีรี่ส์ดังของ JUNGHANS ไปแล้ว เพื่อต้อนรับการกลับมาสู่ตลาดในประเทศไทยอีกครั้งภายใต้ตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ที่ชื่อ WWII (เวิลด์ ออฟ วอทช์ 2) เมื่องานสยามพารากอน วอชท์ เอ็กซ์โป 2012 ที่ผ่านมาและ ณ ขณะนี้ก็มีจำหน่ายที่แผนกนาฬิกาภายในห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน และ ดิ เอ็มโพเรียม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้ผมจะพูดถึงคอลเลคชั่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ของ JUNGHANS อย่าง Meister Collection กันบ้างครับ

 

 

Junghans Meister HandaufzugS

 

 

หากใครชื่นชอบสไตล์ของรุ่น Max Bill แต่อาจรู้สึกว่าดูคอนเซอร์เวทีฟไปสักนิด เพราะเป็นแบบซึ่งถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 60 และก็แทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยมาจนถึงทุกวันนี้ ทาง JUNGHANS จึงได้สร้างนาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ที่นำจุดเด่นของรุ่น Max Bill ได้แก่ ความเป็นวัตถุสำหรับใช้งานอย่างชาญฉลาด ตามปรัชญาการออกแบบของ Max Bill ทั้งด้านลักษณะของตัวเรือนและหน้าปัดที่วางองค์ประกอบทุกส่วนได้สมดุลย์ มาปรับปรุงใหม่ให้มีความร่วมสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น ตลอดจนปรับรูปทรงของตัวเรือนและรายละเอียดบนหน้าปัด ไม่ว่าจะเป็น รูปทรงของเข็มและรูปแบบของหลักชั่วโมงรวมถึงดีไซน์ของหน้าปัดย่อยต่างๆ ทั้งยังใช้ฝาหลังกรุกระจกให้เห็นเครื่อง โดยจัดอยู่ในคอลเลคชั่น Meister ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นที่นำชื่อมาจากชื่อรุ่นนาฬิกาเก่าแก่ของ JUNGHANS ซึ่งเริ่มผลิตออกมาตั้งแต่ปี 1931 และถือเป็นรุ่นแรกๆ แห่งนาฬิกาข้อมือของแบรนด์ (JUNGHANS นำชื่อ Meister กลับมาใช้เป็นชื่อคอลเลคชั่นอีกครั้งตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา) 

 

คอลเลคชั่น Meister ในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งหมด 4 รูปแบบฟังก์ชั่นด้วยกัน คือ รุ่นเครื่องไขลาน บอกเวลาแบบ 2 เข็มครึ่ง รุ่นเครื่องอัตโนมัติ บอกเวลาแบบสามเข็ม รุ่นเครื่องอัตโนมัติโครโนมิเตอร์ บอกเวลาแบบสามเข็ม ที่ตั้งใจผลิตขึ้นเพื่อสืบสานตำนานนาฬิกาโครโนมิเตอร์ของ JUNGHANS ซึ่งในยุคทศวรรษที่ 50 นั้น ทาง JUNGHANS เป็นผู้ผลิตนาฬิการะดับโครโนมิเตอร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจาก Rolex กับ Omega และรุ่นโครโนกราฟที่ JUNGHANS เรียกว่า Chronoscope โดยมากับเคาน์เตอร์ย่อยสามวงพร้อมฟังก์ชั่นเดย์-เดทแสดงวันกับวันที่ ลักษณะโดยรวมของ Meister ในแต่ละแบบที่มีร่วมกันนอกจากรูปทรงของตัวเรือนแล้วก็คือ ใช้ฝาหลังแบบขันเกลียวกรุกระจกไมเนอรัลคริสตัล ส่วนกระจกหน้าปัดทรงโดมนั้นยังคงทำจากโพลีเมอร์ที่เรียกว่าเพล็กซิกลาสโดยได้รับการเคลือบ Sicralan ให้ทนทานต่อการขีดข่วน แสงยูวี และสารเคมีต่างๆ พร้อมให้ประกายงดงาม เช่นเดียวกับที่ใช้ในรุ่น Max Bill บนหน้าปัดก็มีเข็มทรงดาบกับลักษณะของหลักชั่วโมงแบบขีดที่ทุกแบบจะมีลักษณะคล้ายกันและยังไม่มีหน้าปัดสีดำให้เลือกอย่างในรุ่น Max Bill มาชมกันเลยดีกว่าครับว่าแต่ละแบบของ Meister นั้นมีรายละเอียดเป็นอย่างไรกันบ้าง

 

junghans meister handaufzug 027 5201.00 990002c euroS Junghans Meister Handaufzug 027 3200.00 940 EuroS

 

Meister Hand-winding เป็นรุ่นที่มากับเครื่องไขลาน Calibre J815.1 ซึ่งด้านการบอกเวลาแล้วจะมีความแตกต่างกับ Max Bill รุ่นไขลานตรงที่ Meister ไขลาน จะมาในแบบสองเข็มครึ่งซึ่งวางวงวินาทีเล็กเอาไว้ระหว่างจุดกึ่งกลางของเข็มกับตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตัวเรือนจะมีขนาด 37.7 มิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่า Max Bill รุ่นไขลานที่มีขนาด 34 มิลลิเมตรอย่างชัดเจน มีให้เลือกในวัสดุสเตนเลสสตีล หรือเคลือบพีวีดีทองที่มีสีเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์ให้เลือก สวมคู่กับสายหนังม้าหรือสายหนังจระเข้ 

 

 

Junghans Meister AutomaticS

 

 

Meister Automatic เป็นรุ่นที่ใช้เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ Calibre J800.1 ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกับที่ใช้ใน Max Bill Automatic (ปรับปรุงมาจาก ETA 2824) ตัวเรือนที่ใช้มีขนาด 38.4 มิลลิเมตร ซึ่งแทบไม่แตกต่างจาก Max Bill Automatic มีให้เลือกในวัสดุสเตนเลสสตีลหรือเคลือบพีวีดีทองเยลโลว์โกลด์ บอกเวลาแบบสามเข็ม ใช้เข็มทรงดาบที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นไขลานโดยมาพร้อมขีดเรืองแสงบนเข็มชั่วโมงกับนาที มีหน้าต่างบอกวันที่อยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา สวมคู่กับสายหนังม้า หรือสายสเตนเลสสตีลแบบ 9 แถว 

 

 

Junghans Meister ChronometerS1 Junghans Meister Chronometer Anniversary modelS

 

 

Meister Chronometer เป็นรุ่นที่ใช้เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติเช่นกัน รายละเอียดต่างๆ จะเหมือนกับรุ่น Automatic แต่มีความแตกต่างอยู่ที่ เครื่อง Calibre J820.1 ที่ใช้นั้นเป็นเครื่องที่ปรับปรุงมาจากเครื่อง Soprod A10 โดยผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงในระดับโครโนมิเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตัวเครื่องยังถูกเพิ่มความสวยด้วยการเคลือบโรเดียม ใช้สกรูว์บลูด์สตีล และใช้โรเตอร์ขัดแต่งลายโค้ตเดอเชอแนฟ บนหน้าปัดก็มีความแตกต่างเล็กน้อยในรายละเอียด คือ มีสเกลนาทีที่ย่อยละเอียดยิ่งขึ้นและมีการแต้มสารขีดเรืองแสงบนหลัก 12 นาฬิกา แน่นอนว่ามีการระบุคำว่า Chronometer บนหน้าปัดด้วย สวมใส่คู่กับสายหนังม้า โดยในปีที่แล้วมีการผลิตรุ่นพิเศษ Anniversary Model แบบลิมิเต็ดเอดิชั่นจำนวน 150 เรือน เนื่องในวาระครบรอบ 150 ปีของแบรนด์ ในตัวเรือนสตีลเคลือบพีวีดีเยลโลว์โกลด์ด้วย

 

 

Junghans Meister ChronoscopeS 027 4121 44S

 

 

Meister Chronoscope นาฬิกาจับเวลารุ่นนี้เดินด้วยเครื่องขึ้นลานอัตโนมัติโครโนกราฟ Calibre 880.1 ที่ปรับจากเครื่องโครโนกราฟยอดนิยม Valjoux 7750 โดยมากับฟังก์ชั่นเดย์-เดท บอกวันกับวันที่ผ่านช่องหน้าต่าง ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา แตกต่างจาก Max Bill Chronoscope ที่บอกเฉพาะวันที่อย่างเดียว ทั้งยังมากับเคาน์เตอร์วินาทีเล็ก ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกาด้วย ส่วนแต่ละวงของเคาน์เตอร์ทั้งสามนั้นจะมีขอบวงชัดเจนทำเป็นมิติดูมีความตื้นลึกสวยงามอีกด้วย ตัวเรือนมีขนาด 40.7 มิลลิเมตร ใหญ่กว่า Max Bill Chronoscope เพียงเล็กน้อย ใช้เม็ดมะยมแบบปุ่มกลมร่วมสมัย สวมใส่คู่กับสายสตีลแบบ 9 แถว หรือสายหนังม้า 

 

 

meister chronoscope gold 027 9200 00 8.350002c S

 

 

และในปี 2012 นี้ ทาง JUNGHANS ก็ได้ออกนาฬิกา Meister Chronoscope Limited Edition รุ่นพิเศษ ตัวเรือนโรสโกลด์ 18k ผลิตจำนวนจำกัด 151 เรือน มาให้ได้ชื่นชมกันอีกรุ่นหนึ่ง โดยตัวเลขการผลิตที่ 151 เรือน ก็น่าจะมาจากอายุ 151 ปีของแบรนด์ในปีนี้ หลังจากที่เคยออกตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบพีวีดีเยลโลว์โกลด์ ในจำนวนจำกัด 1,500 เรือน เนื่องในวาระครบรอบ 150 ปีของแบรนด์เมื่อปี 2011 มาแล้ว 

 

 

Junghans Meister Chronoscope Anniversary modelS

 

 

โอกาสหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังถึงนาฬิกา JUNGHANS อีกซีรี่ส์หนึ่ง ซึ่งแยกไลน์การผลิตออกมาเพื่อสดุดีผู้ก่อตั้งแบรนด์ JUNGHANS เมื่อปี 1861 โดยนำชื่อของเขามาใช้เป็นชื่อซีรี่ส์ นั่นก็คือ ERHARD JUNGHANS ซึ่งเปิดตัวออกมาครั้งแรกเมื่อปี 2007 และขยายไลน์อย่างต่อเนื่องออกมาหลายรุ่นด้วยกันในปัจจุบัน โดยแต่ละรุ่นก็ล้วนมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาของทั้งฟังก์ชั่นและเครื่องที่ใช้ตลอดจนงานขัดแต่งในรายละเอียดที่บรรจงรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตอีกด้วย

 

 

By: Viracharn T.