นาฬิกาอะไรที่คุณอยากได้ (ภาคต่อ: HUBLOT)

 

หากติดตามวงการกีฬาโลกในช่วงราว 5-6 ปีมานี้ จะเห็นโลโก้ของ Hublot ซึ่งเป็นแบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่ในแมตช์การแข่งขันสำคัญๆ ของหลากประเภทกีฬาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นป้ายในสนาม บนเสื้อของนักกีฬา หรือบนนาฬิกาที่ใช้จับเวลาการแข่งขัน หลายคนอาจสงสัยว่า Hublot นี้ ที่จริงแล้วอ่านว่าอย่างไร จริงๆ แล้วเค้าอ่านว่า “อูโบลท์” ครับ ไม่ใช่ ฮับบล็อท อย่างที่ผมเคยเห็นสื่อบางฉบับของไทยลงไว้เมื่อราว 5 ปีก่อนในสมัยที่ทางแบรนด์เริ่มเข้ามาข้องเกี่ยวในวงการกีฬาใหม่ๆ

 

ทุกวันนี้นาฬิกาแบบสปอร์ตเป็นอะไรที่ได้รับความนิยมสูงมากในทุกระดับของผู้คน นาฬิกาสปอร์ตหรูก็กลายเป็นประเภทนาฬิกาที่อยู่ในลิสต์ซึ่งจะต้องมีไว้ประดับข้อมือด้วย จากฉบับที่ผ่านๆ มาก็จะเห็นว่าแบรนด์หรูยอดนิยมต่างๆ ก็มีไลน์นาฬิกาสปอร์ตไว้จำหน่ายด้วยกันทั้งสิ้น แต่แบรนด์ Hublot นี้เขามีแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งมั่นกับนาฬิกาสปอร์ตอย่างชัดเจนมากๆ จนทำให้กลายเป็นแบรนด์ผู้ทรงอิทธิพลแบรนด์หนึ่งในประเภทนาฬิกาสปอร์ตของโลกไปแล้ว ทั้งยังมีหลายแบบที่สามารถใส่ได้ทั้งทำงานหรือลำลองช่วงกลางวันไปจนถึงปาร์ตี้หรือออกงานยามค่ำคืนแบบที่เรียกว่าเรือนเดียวจบด้วย

 

Hublot ก่อตั้งขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์โดยชายชาวอิตาเลียนที่ชื่อ Carlo Crocco เมื่อปี ค.ศ. 1980 เขาเป็นผู้บุกเบิกการนำเอาแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกาเพื่อใช้กับนาฬิกาตัวเรือนทองคำซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนเพราะใครจะคิดว่าผู้คนจะยอมรับและใส่นาฬิกาเรือนทองกับสายยางได้ แต่เขาก็ทำสำเร็จและเป็นการจุดประกายให้เกิดปรัชญา “The Art of Fusion” หรือศิลปะแห่งการผสมผสานให้กับ Hublot ได้ยึดถือปฏิบัติและเป็นแนวทางในการบุกเบิกคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตนาฬิกามาจนถึงทุกวันนี้ ตัวเรือนของเขานั้นมีลักษณะเฉพาะและยึดด้วยสกรูว์ไทเทเนียม 12 ตัวโดยมีรูปทรงคล้ายกับช่องอากาศรูกลมด้านข้างของเรือ (Porthole) อันเป็นที่มาของชื่อ Hublot ซึ่งก็คือ Porthole ในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง ช่วงแรกในการทำแบรนด์นั้นอาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักแต่จุดพลิกผันของแบรนด์อยู่ที่การเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ Jean-Claude Biver เมื่อปี 2004 และได้สร้างคอลเลคชั่น Big Bang นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟสไตล์ร่วมสมัยขึ้นมาในปี 2005 จากนั้นก็สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้ถึง 4 เท่าตัวในปี 2006 ปัจจุบัน Biver ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ

 

 

King Power Red Devil King Power Maradona

 

(ซ้าย) King Power Red Devil ตัวเรือนเซรามิกดำขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนเซรามิกดำประกบฐานยาง เปิดหน้าปัดให้เห็นกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟแกะสเกเลตัน ใช้เข็มจับเวลากลางซึ่งจับเวลาได้แบบ 45 นาทีเท่ากับครึ่งของการแข่งขันฟุตบอล หลักชั่วโมงทำจากหญ้าแท้ๆ จากสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดของแมนยูฯ มีโลโก้แมนยูฯ อยู่บนหน้าปัด สายยางสีดำขลิบแถบแดง ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือน
(ขวา) King Power Maradona ตัวเรือน หน้าปัด ฟังก์ชั่นและเครื่องตลอดจนสาย มีลักษณะเดียวกับ King Power Red Devil แต่จะมากับการตกแต่งด้วยสีฟ้าในส่วนต่างๆ รวมถึงหลักชั่วโมง มีลายเซ็นและหมายเลขประจำตัวของมาราโดน่าอยู่บนหน้าปัด ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือน

 

 

Hublot เริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในวงการกีฬาโลกครั้งแรกเมื่อปี 2006 ด้วยการสนับสนุนทีมชาติสวิสในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ต่อด้วยการสนับสนุนฟุตบอลยูโร 2008 และดังสนั่นวงการด้วยการเข้าให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา และในปีนั้นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งธรรมเนียมในการสร้างนาฬิกาเอดิชั่นพิเศษของแบรนด์สำหรับองค์กรต่างๆ ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งแน่นอนว่า รุ่นที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ Big Bang “Red Devil Bang” ที่มาพร้อมกับเคาน์เตอร์จับเวลา 45 นาที สำหรับครึ่งเวลาของการแข่งขันฟุตบอลอันเป็นนาฬิกาสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือกับแมนยูนั่นเอง จากนั้นก็ขยายปีกไปสนับสนุนสโมสรกีฬาชื่อดังในประเภทกีฬาต่างๆ มากมายทั่วโลก อาทิ สโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม แห่งเนเธอร์แลนด์ บาร์เยิน มิวนิค แห่งเยอรมนี จูเวนตุส แห่งอิตาลี ทีมบาสเก็ตบอลไมอามี่ฮีทในอเมริกา ทีมเรือใบสัญชาติสวิส Alinghi ทีมฟอร์มูล่าวันเฟอร์รารี่ ตลอดจนรายการแข่งขันสำคัญๆ ของโลก อย่างการแข่งขันรถฟอร์มูล่าวัน ฟุตบอลโลก 2010 ฟุตบอลยูโร 2012 การแข่งเรือใบ America’s Cup อีกทั้งยังมีแอมบาสเดอร์เป็นนักกีฬาชื่อดังมากมาย อาทิ Diego Maradona, Dwyande Wade, Usain Bolt ไปจนถึง Sir Alex Ferguson ผู้จัดการทีมแมนยู และดาราดังอย่าง Jet Li เป็นต้น

 

 

King Power Alinghi

 

King Power Alinghi ตัวเรือนเซรามิกดำขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนเซรามิกดำประกบฐานยาง หน้าปัดกึ่งสเกเลตันเปิดให้เห็นกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟอินเฮ้าส์ Unico ที่ Hublot พัฒนาและผลิตขึ้นเอง บนหน้าปัดโดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์ Alinghi สีแดง ผลิตจำนวนจำกัด 333 เรือน

 

 

นวัตกรรมด้านวัสดุศาสตร์ที่ทาง Hublot คิดค้นและนำมาผสมผสานบนนาฬิกาของแบรนด์นั้น มีทั้ง ยาง, เซรามิก, คาร์บอน, เคฟลาร์, ไทเทเนียม, เซอร์โคเนียม, แทนทาลัม, ทังสเตน และ แม็กนีเซียม เป็นต้น โดยแน่นอนว่าวัสดุล้ำค่าอย่าง ทองคำ สตีล เพชรและอัญมณีก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นาฬิกาคอลเลคชั่นหลักๆ ของแบรนด์ในปัจจุบัน ได้แก่ Big Bang, King Power และ Classic Fusion 

 

 

Big Bang Big Bang All Carbon

 

(ซ้าย) Big Bang ตัวเรือนสตีลขนาด 44 มม. กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ สายยางสีดำ
(ขวา) Big Bang All Carbon ตัวเรือนขนาด 44 มม. ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาสีดำเช่นเดียวกับฝาหลังและหน้าปัด สายยางสีดำประกบหนังจระเข้ที่ด้านนอก กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ

 

 

รุ่น Big Bang จะมาในตัวเรือนขนาด 44 มม. ซึ่งเรียกว่ากำลังเหมาะข้อมือ ไม่ใหญ่เกินไปสำหรับคนไทย มีทั้งแบบเครื่องออโต้ 3 เข็ม และแบบโครโนกราฟเครื่องออโต้ให้เลือก และมีตัวเรือน 38 มม. เครื่องควอตซ์สำหรับคุณผู้หญิงด้วย

 

 

King Power Unico King Gold Carbon King Power F1 Zirconium

 

(ซ้าย) King Power Unico King Gold Carbon ตัวเรือนคิงโกลด์ 18k ขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนคาร์บอนไฟเบอร์บนฐานยางสีดำ หน้าปัดเป็นแผ่นแซฟไฟร์มองเห็นกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟอินเฮ้าส์ Unico ซึ่ง Hublot พัฒนาและผลิตขึ้นเอง สายยางสีดำ
(ขวา) King Power F1 Zirconium ตัวเรือนเซอร์โคเนียมขนาด 48 มม. ขอบตัวเรือนเซรามิกดำเจาะรูและขัดลายคล้ายจานเบรกเซรามิกของรถแข่งบนฐานเซอร์โคเนียม กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ มีสัญลักษณ์ F1 อยู่บนหน้าปัด สายยางสีดำเย็บประกบกับผ้า Nomex สีดำด้วยด้ายแดง

 

 

ส่วน King Power นั้นจะมากับขนาดตัวเรือนที่ใหญ่กว่า Big Bang โดยมีขนาดถึง 48 มม. หลักๆ จะมากับกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ ซึ่งบางรุ่นจะใช้เครื่องอินเฮ้าส์ Unico ที่ Hublot พัฒนาและผลิตขึ้นเองด้วย

 

 

Big Bang Classic Fusion Chronograph

 

(ซ้าย) Classic Fusion ตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 42 มม. หน้าปัดดำ กลไกอัตโนมัติ สายยางสีดำ
(ขวา) Classic Fusion Chronograph ตัวเรือนคิงโกลด์ 18k ขนาด 45 มม. กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ สายยางสีดำเย็บประกบหนังจระเข้ที่ด้านนอก

 

 

สำหรับ Classic Fusion ก็จะเป็นนาฬิกาสปอร์ตติดหรูที่มีบุคลิกเรียบร้อยกว่ารุ่นอื่นๆ มีตัวเรือน 3 ขนาด คือ 33 มม.เครื่องควอตซ์สำหรับคุณผู้หญิง 42 มม. เครื่องอัตโนมัติ และ 45 มม. ที่มีทั้งแบบเครื่องอัตโนมัติ เครื่องอัตโนมัติโครโนกราฟ และเครื่องไขลานสเกเลตัน ถ้าชอบนาฬิกาสปอร์ตแบบเนี้ยบๆ ก็ต้องเป็น Classic Fusion ครับ

 

 

Classic Fusion FIFA World Cup Big Bang in Red

 

(ซ้าย) Classic Fusion FIFA World Cup ตัวเรือนโรสโกลด์ 18k ขนาด 45 มม. ฝาหลังโรสโกลด์สลักภาพถ้วยฟุตบอลโลก หน้าปัดทองคำขัดซาตินพร้อมภาพถ้วยฟุตบอลโลก กลไกอัตโนมัติ สายยางสีดำเย็บประกบหนังจระเข้ที่ด้านนอก ผลิตจำนวนจำกัด 100 เรือน เพื่อเป็นที่ระลึกที่ Hublot เป็นผู้จับเวลาการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2010
(ขวา) Big Bang in Red Edition ตัวเรือนขนาด 38 มม. ทำจากเซรามิกสีขาวยึดติดกับวัสดุคอมโพสิตเรซินสีแดง ประดับเพชร 126 เม็ดบนขอบตัวเรือนสตีล หน้าปัดแดง สายยางสีแดงเย็บประกบหนังจระเข้สีแดงที่ด้านนอก เครื่องควอตซ์ เป็นเอดิชั่นพิเศษที่ผลิตในโอกาสเทศกาลวาเลนไทน์เมื่อปี 2010

 

 

แต่ละรุ่นในแต่ละคอลเลคชั่นจะมีตัวเรือนหลากชนิดหลายคอมบิเนชั่นให้เลือกไม่ว่าจะเป็นสเตนเลสสตีลหรือทองคำดังเช่นนาฬิกาปกติ ไปจนถึงวัสดุต่างๆ เช่น เซรามิก ไทเทเนียม คาร์บอน เซอร์โคเนียม และแม็กนิเซียม เป็นต้น ร่วมด้วยการผสมผสานเอาวัสดุหลากหลายชนิดมาใช้เป็นส่วนประกอบตลอดจนมีรุ่นประดับเพชรและอัญมณีชนิดต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษลิมิเต็ดเอดิชั่นอีกมากมาย เรียกว่ามีให้เลือกกันอย่างไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว

 

นาฬิกาทุกแบบของ Hublot ไม่ว่าจะมาจากคอลเลคชั่นใดก็ล้วนแต่มีดีเอนเอแห่งรูปทรงของช่องอากาศทรงกลมด้านข้างเรืออันเป็นที่มาของชื่อ Hublot ซึ่งสื่อผ่านด้วยขอบตัวเรือนทรงกลมยึดด้วยสกรูว์ไทเทเนียมหัวตัว H 6 ตัวด้วยกันทั้งสิ้น และโดยมากก็มาคู่กับสายยางหรือสายยางที่เย็บประกบกับหนังหรือวัสดุอื่นๆ ที่ด้านนอกอันเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของแบรนด์ด้วย เรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาอีกแบรนด์หนึ่งที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก

 

 

By: Pramote R.