PIAGET Polo 79

ปี 1979 PIAGET ท้าทายขีดจำกัดด้วยการเปิดตัวนาฬิการุ่น Polo ที่หลอมรวมดีไซน์โค้ดของแบรนด์ทั้ง Style, Casual elegance และ Freedom ไว้อย่างครบครันเข้าด้วยกัน และเพื่อฉลองครบรอบ 150 ปีของเมซงในปี 2024 และเป็นเกียรติแก่เรือนเวลาสุดไอคอนิคอย่าง Polo นาฬิกาสปอร์ตเรือนแรกที่เป็นหนึ่งในชิ้นงาน ที่กล้าเป็นตัวของตัวเองในแบบไม่ตามใคร ดังนั้นในวันนี้ความภาคภูมิใจแห่งทศวรรษที่ 80 จึงกลับมาสร้างความเย้ายวนใจอีกครั้งในชื่อ Polo 79

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.41.41

 

จากการที่ PIAGET ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่หรูหรา แต่เมื่อมาถึงช่วง 80s ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ดังนั้น Mr. Yves Piaget จึงให้ความเห็นว่า “จริงอยู่ที่เราค่อนข้างตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ที่คุ้นเคยกับการสวมใส่เดรสวอทช์เป็นอย่างดี แต่ด้วยรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม จึงเป็นจุดเริ่มของความท้าทายครั้งใหม่ ในการสร้างสรรค์เรือนเวลาแนวสปอร์ต เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเมื่อสวมใส่แล้วยังคงความหรูหรา ขณะเดียวกันก็มีความสปอร์ตอยู่ด้วย”

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.41.49

 

แนวคิดนี้จึงหล่อหลอมออกมาเป็น Polo เรือนเวลาที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับรสนิยม ของสังคมชั้นสูงที่รายล้อมรอบตัวเขา ทั้งยังเชื่อมโยงความผูกพันของเขากับโลกแห่งการขี่ม้าอีกด้วย โดย 45 ปีให้หลังนับจากการปรากฎตัวครั้งแรกของเรือนเวลาสุดไอคอนิค วันนี้หน้าประวัติศาสตร์ต้องจารึกอีกครั้ง กับเรือนเวลาโฉมใหม่ในชื่อ Polo 79 ที่แม้จะผ่านการตีความและปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัย แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณและแก่นแท้ ที่น่าหลงใหลได้เป็นอย่างดี

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.59.32

 

ซึ่งช่วงทศวรรษ 70s แม้แวดวงนาฬิกาจะเผชิญวิกฤตการณ์ควอท์ซ และได้เห็นการมาถึงของนาฬิกาสปอร์ตสุดหรู จากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส ซึ่งวัสดุที่นำเสนอในยุคนั้นคงหนีไม่พ้นสตีล ในขณะที่ PIAGET กลับเลือกนำเสนอมุมมองที่ต่างออกไป โดยหยิบเอาทองคำมาสร้างสรรค์ ประกอบกับการออกแบบที่ทันสมัย และสามารถก้าวข้ามคุณสมบัติเดิมๆ ด้วยการผสานสายนาฬิกาเข้ากับตัวเรือน ราวกับเป็นชิ้นเดียว จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคในชื่อ Polo

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.59.51

 

อีกทั้งด้วยความที่ Mr. Yves Piaget เป็นนักเดินทางตัวยง นาฬิกา PIAGET Polo จึงได้ร่วมแบ่งปันช่วงเวลาอันเจิดจรัสไปกับ PIAGET โซไซตี้ตามงานปาร์ตี้ต่างๆ โดยเฉพาะในนิวยอร์กและปาล์มบีช ด้วยโมทีฟอันเป็นเอกลักษณ์ของ PIAGET Polo ที่ไม่เพียงแต่ปรากฎบนสายนาฬิกาเท่านั้น แต่ยังส่งต่อไปยังตัวเรือนและหน้าปัดอีกด้วย ซึ่งแพทเทิร์นดังกล่าวเกิดจากการออกแบบ ให้เกิดโครงสร้างข้อต่อแบบขัดเงาที่มีลักษณะนูน และเป็นริ้ววางสลับไปมากับข้อต่อขัดซาติน

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.41.01

 

ขณะที่ตัวเรือน หน้าปัด และสายนาฬิกา มอบสัมผัสที่บางเบาเป็นเนื้อเดียวกับข้อมือ ราวกับถูกหลอมขึ้นจากทองคำเพียงชิ้นเดียว ซึ่งทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นโดยช่างฝีมือ ผู้เชี่ยวชาญภายในเวิร์กช็อปของ PIAGET และถึงแม้ PIAGET Polo จะออกแบบให้ทนต่อแรงกระแทกและกันน้ำได้ แต่ก็ไม่ลดทอนความหรูหราลง ที่ PIAGET เดิมพันด้วยการใช้โลหะล้ำค่าอย่างทองคำ - สอดคล้องตามข้อความที่ปรากฎบนโฆษณาที่ว่า ‘the world’s ultimate sportswatch’, the Piaget Polo was as revolutionary as it was chic.

 

Screenshot 2567 02 17 at 21.41.21

 

นอกจากนี้ PIAGET Polo ยังการันตีด้วยความเชี่ยวชาญด้านการผลิตกลไกที่บางพิเศษ ทั้งแบบควอท์ซและไขลาน โดยปี 1976 PIAGET มีการเปิดตัวกลไกควอท์ซอินเฮ้าส์คาลิเบอร์ 7P ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกลไกควอท์ซที่บางที่สุดในโลก ที่สำคัญกลไกชุดนี้ยังถูกบรรจุไว้ใน PIAGET Polo โมเดลเริ่มแรกอีกด้วย ซึ่งต่อมาช่วงต้นทศวรรษ 80s กลไกคาลิเบอร์ 7P จึงได้ถูกแทนที่ด้วยกลไกเพรียวบางชุดใหม่คาลิเบอร์ 8P ที่หนาเพียง 1.95 มิลลิเมตร รวมไปถึงคาลิเบอร์ 9P ในนาฬิกา PIAGET Polo บางรุ่นอีกด้วย

 

Screenshot 2567 02 17 at 22.00.53

 

และหลังจากที่ PIAGET Polo รุ่นแรกได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ทางแบรนด์จึงพัฒนาอย่างอุตสาหะเรื่อยมา เพื่อส่งมอบความหลากหลายให้กับผู้สวมใส่จวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ตัวเรือนทรงกลมหรือทรงสี่เหลี่ยม, การตกแต่งด้วยอัญมณี, การผสมผสานวัสดุ 2 ชนิดเพื่อให้ได้เฉดสีที่แปลกตา, กลไกอินเฮ้าส์แบบเพอเพทชวลคาเลนดาร์ หรือแม้กระทั่งการจับคู่กับสายหนังในหลากหลายชนิด และส่งผลให้นาฬิกา PIAGET Polo ถือเป็นหนึ่งในดาวเด่นของแบรนด์มาโดยตลอด

Screenshot 2567 02 17 at 21.42.04

 

กับ PIAGET Polo 79 เรือนเวลาที่สะท้อนถึงรากเหง้า และการถอดแบบดีไซน์ดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีการปรับแต่งดีเทลบางจุดเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ไว้อย่างครบครัน ทำงานด้วยกลไกอินเฮ้าส์อัตโนมัติคาลิเบอร์ 1200P1 ที่บางสุดขั้ว พร้อมฝาหลังกรุกระจกแซฟไฟร์ที่เผยให้เห็นชิ้นส่วนกลไกอันซับซ้อน ในตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร ที่ชวนให้นึกถึงนาฬิกาสปอร์ตเรือนแรก อันเป็นที่ที่ตื่นตาตื่นใจของเหล่าเจ็ทเซ็ตเตอร์เมื่อ 45 ปีก่อนได้เป็นอย่างดี