SIHH 2012 - New pieces of 40th AUDEMARS PIGUET Royal Oak

 

AUDEMARS PIGUET เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เป็นไฮไลต์ของงาน SIHH ที่เจนีวาประจำปี 2012 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16-18 มกราคม 2555 เพราะปี 2012 นี้เป็นปีครบรอบ 40 ปีของ Royal Oak นาฬิกาลักชัวรี่สปอร์ตระดับไอคอนแห่งวงการนับจากที่ได้เปิดตัวรุ่นต้นตระกูลเมื่อปี 1972 และในโอกาสพิเศษเช่นนี้ทาง AUDEMARS PIGUET ก็ได้เปิดตัวเวอร์ชั่นใหม่ของ Royal Oak ออกมากันถึง 8 เวอร์ชั่นด้วยกัน ในรูปโฉมที่อิงกับ Royal Oak คอลเลคชั่นดั้งเดิมจากปี 1972 ด้วยความเคารพรักในบรรพบุรุษซึ่งเป็นจุดกำเนิดแห่งตำนาน โดย 8 เวอร์ชั่นนี้จะถูกแบ่งเป็น 2 ไลน์ด้วยกัน หนึ่งคือ Extra-Thin Royal Oak ส่วนอีกไลน์คือ Royal Oak กลไกอัตโนมัติ และกลไกควอตซ์ ซึ่งแต่ละไลน์จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนโดยเฉพาะรูปแบบของหน้าปัด โดย Extra-Thin จะมากับลาย “Petite Tapisserie” ส่วนรุ่นกลไกอัตโนมัติและควอตซ์จะมาในลาย "Grande Tapisserie"

 

 

UnknownUnknown 1

 

Royal Oak รุ่นแรกจากปี 1972 (ซ้าย) กับ Extra-Thin Royal Oak 39 mm ปี 2012 (ขวา) ที่ทาง AP ตั้งใจทำให้คล้ายกับรุ่นต้นตระกูล เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี ของ Royal Oak

 

 

Extra-Thin Royal Oak ชุดปี 2012 นี้มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Openworked Extra-Thin Royal Oak Tourbillon 40th Anniversary Limited Edition, Extra-Thin Royal Oak Tourbillon 41 mm, Openworked Extra-Thin Royal Oak 40th Anniversary Limited Edition และ Extra-Thin Royal Oak 39 mm

 

 

Openworked Extra-Thin Royal Oak Tourbillon, 40th Anniversary 

Limited Edition (Ref.26511PT.OO.1220PT.01)

 

Unknown

 

ตัวเรือนแพลตินั่ม 950 ขนาด 41 มิลลิเมตร กันน้ำได้ 50 เมตร บรรจุกลไกไขลานตูร์บิยองอินเฮ้าส์รุ่นใหม่ Calibre 2924 ซึ่งเป็นกลไกแบบบางพิเศษ (หนาเพียง 4.46 มิลลิเมตร) 25 จิวเวล กำลังสำรอง 70 ชั่วโมง ทำงานที่ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ประกอบด้วยชิ้นส่วนรวม 216 ชิ้น ซึ่งจัดว่าเป็นกลไกตูร์บิยองที่บางที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน เผยความงดงามของงานขัดแต่งชิ้นส่วนกลไกต่างๆ ด้วยมือ กับสีทองอร่ามของบาร์เรล เกียร์เทรน และบาลานซ์ ผ่านทางงานหน้าปัดโอเพ่นเวิร์คสเกเลตันที่ผ่านการกระบวนการแอนทราไซต์ให้เป็นสีเทาและกระจกหน้าปัดกับฝาหลังแซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อน เข็มและมาร์คเกอร์ชั่วโมงทำจากไวท์โกลด์ มีมาตรบอกกำลังสำรองอยู่ด้านหลังตัวเรือน ผลิตในจำนวนจำกัด 40 เรือน พร้อมสลักหมายเลขประจำเรือน สวมใส่คู่กับสายแพลตินั่ม 950

 

 

Extra-Thin Royal Oak Tourbillon- 41 mm

(Ref.26510OR.OO.1220OR.01)

 

Unknown 1

 

ตัวเรือนพิงค์โกลด์ 18k ขนาด 41 มิลลิเมตร หนา 8.85 มิลลิเมตร กันน้ำได้ที่ระดับความลึก 50 เมตร ใช้หน้าปัดลาย “Petite Tapisserie” สีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับนาฬิกา Royal Oak รุ่นแรกเมื่อ 40 ปีก่อน เข็มและหลักชั่วโมงทำจากพิงค์โกลด์ มีมาตรบอกกำลังสำรองที่ด้านหลังซึ่งมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังแซฟไฟร์คริสตัลเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อน เปิดช่องที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาให้เห็นกรงตูร์บิยอง ใช้กลไกไขลานตูร์บิยองอินเฮ้าส์ Calibre 2924 ที่บางเพียง 4.46 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับรุ่น Extra-Thin Royal Oak Tourbillon 40th Anniversary Limited Edition สวมใส่คู่กับสายพิงค์โกลด์ 18k และรุ่นนี้ยังมีในเวอร์ชั่นตัวเรือนสตีลหน้าปัดสีน้ำเงินให้เลือกด้วย

 

 

Openworked Extra-Thin Royal Oak, 40th Anniversary Limited Edition

(Ref.15203PT.OO.1240PT.01)

 

Unknown 2

 

ตัวเรือนแพลตินั่ม 950 ขนาด 39 มิลลิเมตร กันน้ำได้ 50 เมตร ใช้กลไกอัตโนมัติอินเฮ้าส์แบบบางพิเศษที่มีความหนาเพียง 3.05 มิลลิเมตร 36 จิวเวล ประกอบด้วยชิ้นส่วน 249 ชิ้น กำลังสำรอง 40 ชั่วโมง ทำงานที่ความถี่ 19,800 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งจัดเป็นกลไกอัตโนมัติที่บางที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก Calibre 5122 สามารถมองเห็นความงามของงานขัดแต่งกลไกด้วยมือได้เต็มตาผ่านทางงานหน้าปัดโอเพ่นเวิร์คสเกเลตันที่ผ่านกระบวนการกัลวานิคจนได้สีแอนทราไซต์ หลักชั่วโมงทำจากไวท์โกลด์ จานวันที่ทำจากแซฟไฟร์และใช้ตัวเลขสีดำเพื่อมิให้บดบังกลไกให้เสียอารมณ์แต่ยังสามารถอ่านค่าวันที่ปัจจุบันได้ด้วยพื้นหลังสีเทาที่ช่องหน้าต่าง กระจกหน้าปัดและฝาหลังแซฟไฟร์คริสตัลเคลือบสารกันแสงสะท้อน ออสซิลเลทิงเวททำจากทอง 22k แต่งลาย “Tapisserie” พร้อมปั๊มนูนเป็นข้อความว่า “AP Royal Oak 1972-2012” สวมใส่คู่กับสายแพลตินั่ม 950 ผลิตในจำนวนจำกัด 40 เรือน พร้อมสลักหมายเลขประจำเรือน

 

 

Extra-Thin Royal Oak- 39 mm

(Ref.15202ST.OO.1240ST.01)

 

Unknown 3

 

Extra-Thin Royal Oak 39mm รุ่นนี้เป็นรุ่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ Royal Oak รุ่นแรกจากปี 1972 มากทีเดียว ด้วยตัวเรือนสตีลขนาด 39 มิลลิเมตรที่มากับหน้าปัดสีน้ำเงินลาย “Petite Tapisserie” แบบเดียวกันกับรุ่นต้นตำรับ เช่นเดียวกับสีของจานวันที่ และสัญลักษณ์ AP ที่ทำจากไวท์โกลด์ซึ่งติดตั้งไว้เหนือตำแหน่ง 6 นาฬิกา อีกทั้งยังคงใช้กลไกอัตโนมัติแบบบางพิเศษ Calibre 2121 พร้อมฟังก์ชั่นบอกวันที่ ประกอบด้วยชิ้นส่วน 247 ชิ้น กำลังสำรอง 40 ชั่วโมง ทำงานที่ความถี่ 19,800 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งมีความหนาเพียง 3.05 มิลลิเมตร เช่นเดิมด้วย โดยมีออสซิลเลทิงที่ทำจากทอง 22k แต่งลาย “Petite Tapisserie” พร้อมปั๊มนูนเป็นข้อความว่า “AP Audemars Piguet” เป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของคอลเลคชั่นใหม่นี้ กระจกหน้าปัดและฝาหลังทำจากแซฟไฟร์คริสตัลเคลือบสารกันแสงสะท้อน กันน้ำได้ลึก 50 เมตร หลักชั่วโมงทำจากไวท์โกลด์ สวมใส่คู่กับสายสตีล และยังมีตัวเรือนวัสดุพิงค์โกลด์ให้เลือกด้วย

 

 

มาถึงรุ่นใหม่ของ Royal Oak กลไกอัตโนมัติและควอตซ์กันบ้าง รุ่นปี 2012 ในไลน์นี้มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่นเช่นเดียวกัน ได้แก่ กลไกอัตโนมัติ 2 รุ่น คือ ขนาด 41 มิลลิเมตร กับ 37 มิลลิเมตร ส่วนอีกสองคือ Royal Oak Chronograph 41 มิลลิเมตร และรุ่น Royal Oak กลไกควอตซ์ขนาด 33 มิลลิเมตร 

 

 

Royal Oak Selfwinding 41 mm

(Ref.15400ST.OO.1220ST.01)

 

Unknown 4

 

รุ่นปี 2012 นี้ตัวเรือนสตีลของรุ่น Royal Oak กลไกอัตโนมัติ ได้ถูกขยายขนาดจาก 39 มิลลิเมตรขึ้นเป็น 41 มิลลิเมตร โดยมาพร้อมคุณสมบัติในการกันน้ำได้ 50 เมตร ใช้เม็ดมะยมขันเกลียว กระจกหน้าปัดและฝาหลังแซฟไฟร์คริสตัล หน้าปัดสีดำลาย “Grande Tapisserie” สำหรับสัญลักษณ์ AP ในคราวนี้ก็ขยับต่ำลงมาจากตำแหน่ง 12 นาฬิกา โดยให้หลักชั่วโมงคู่ทำจากไวท์โกลด์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Royal Oak รุ่นแรกปี 1972 มาสถิตย์ในตำแหน่ง 12 นาฬิกาแทน ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ Calibre 3120 ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วน 280 ชิ้น 40 จิวเวล กำลังสำรอง 60 ชั่วโมง ทำงานที่ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง และใช้ออสซิลเลทิงเวททำจากทอง 22k สวมใส่คู่กับสายสตีล โดยมีหน้าปัดให้เลือกอีก 2 สี คือ สีเงินและสีน้ำเงิน ส่วนด้านวัสดุก็มีในตัวเรือนพิงค์โกลด์หน้าปัดดำหรือเงินให้เลือกสวมใส่คู่กับสายพิงค์โกลด์หรือสายหนังด้วย

 

 

Selfwinding Royal Oak- 37 mm

(Ref.15451OR.ZZ.1256OR.01)

 

Unknown 5

 

ตัวเรือนขนาดใหม่ของตระกูล Royal Oak ในไซส์ 37 มิลลิเมตร เม็ดมะยมขันเกลียว กันน้ำได้ 50 เมตรรุ่นนี้ออกมาเพื่อเอาใจคนข้อมือเล็กเรียวโดยเฉพาะ ตัวเรือนทำจากพิงค์โกลด์ 18k ประดับเพชร 40 เม็ด น้ำหนักรวม 0.9 กะรัตบนขอบตัวเรือน เม็ดมะยม สาย และบานพับ ก็ทำจากพิงค์โกลด์เช่นกัน กระจกหน้าปัดและฝาหลังเป็นแซฟไฟร์คริสตัล ใช้หน้าปัดโทนสีเงินลาย “Grande Tapisserie” ขยับสัญลักษณ์ AP ลงมาอยู่ใต้หลักชั่วโมงคู่ทำจากพิงค์โกลด์ที่นำรูปแบบของรุ่นดั้งเดิมมาใช้เช่นเดียวกับรุ่นตัวเรือน 41 มิลลิเมตร ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติ Calibre 3120 พร้อมออสซิลเลทิงเวททอง 22k เช่นกัน มีแบบตัวเรือนไม่ประดับเพชรคู่กับสายพิงค์โกลด์ 18k หรือสายหนัง และตัวเรือนสตีลทั้งประดับและไม่ประดับเพชร คู่กับสายสตีลหรือสายหนัง ให้เลือกด้วย ส่วนหน้าปัดสามารถเลือกได้ระหว่างสีดำ หรือสีเงิน

 

 

Royal Oak Chronograph- 41 mm

(Ref.26320OR.OO.D002CR.01)

 

Unknown 6

 

Royal Oak Chronograph ในปีนี้มากับตัวเรือนที่ขยายเป็น 41 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับรุ่นกลไกอัตโนมัติ ตัวเรือนทำจากพิงค์โกลด์ 18k พร้อมเม็ดมะยมขันเกลียว กันน้ำได้ 50 เมตร กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์คริสตัล จับคู่กับสายหนังจระเข้สีดำเย็บด้วยมือพร้อมบานพับพิงค์โกลด์ หน้าปัดลายสีดำ “Grande Tapisserie” ขยับสัญลักษณ์ AP ลงมาอยู่ใต้หลักชั่วโมงคู่พิงค์โกลด์ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และยังออกแบบสเกลในหน้าปัดจับเวลาใหม่ให้สามารถอ่านค่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย ทำงานด้วยกลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ Calibre 2385 ประกอบจากชิ้นส่วน 304 ชิ้น 37 จิวเวล กำลังสำรอง 40 ชั่วโมง ทำงานที่ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง และใช้ออสซิลเลทิงเวทที่ทำจากทอง 18k ทางเลือกของรุ่นนี้ นอกจากตัวเรือนพิงค์โกลด์ 18k แล้วรุ่นนี้ยังมีตัวเรือนสตีลให้เลือกด้วย ส่วนหน้าปัดก็เลือกได้ระหว่างสีดำ สีเงิน ส่วนรุ่นสตีลจะมีหน้าปัดสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นมาให้เลือกได้ด้วย และนอกจากสายหนังแล้วก็มีสายสตีลหรือสายพิงค์โกลด์ 18k ให้เลือกอีก

 

 

Royal Oak Quartz- 33 mm

(Ref.67651ST.ZZ.1261ST.01)

 

Unknown 7

 

รุ่นใหม่รุ่นสุดท้ายของชุดนี้ก็คือ Royal Oak กลไกควอตซ์สำหรับสุภาพสตรีที่มากับตัวเรือนขนาด 33 มิลลิเมตรทำจากสตีลสายสตีลประดับประดาด้วยเพชร 40 เม็ด น้ำหนักรวม 0.71 กะรัต บนขอบตัวเรือน กันน้ำได้ 50 เมตร กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์คริสตัล หน้าปัดโทนสีเงินลาย “Grande Tapisserie” และขยับโลโก้ลงมาอยู่ใต้หลักชั่วโมงคู่ทำจากไวท์โกลด์ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ทำงานด้วยกลไกควอตซ์ Calibre 2713 นอกจากนี้ยังมีให้เลือกจับคู่กับสายหนังสีดำหรือสีขาว และมีตัวเรือนพิงค์โกลด์คู่กับสายหนังสีขาวหรือสีน้ำตาลหรือสายพิงค์โกลด์ให้เลือกด้วย

 

 

By: Viracharn T.