MIDO Commander Big Date ฟังก์ชั่นบิ๊กเดท บนนาฬิกาตระกูลอมตะที่คนไทยคุ้นเคยกันดี

 

ปี 2018 นี้ ถือเป็นปีสำคัญของ MIDO (มิโด้) หนึ่งในแบรนด์นาฬิกาสวิสที่เป็นที่คุ้นเคยของคนไทยมากที่สุดเนื่องจากเข้ามาทำตลาดในบ้านเราอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เรียกว่าตั้งแต่รุ่นคุณปู่หรือคุณทวดก็ว่าได้ ซึ่งนับจากก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1918 ก็ได้เวลาฉลองอายุครบ 100 ปีกันแล้วในปีนี้

 

 

Commander bigdate 1

 

 

ธรรมเนียมปฏิบัติของวงการนาฬิกาก็คือ จะต้องออกนาฬิการุ่นใหม่หรือรุ่นพิเศษๆ ให้กับคอลเลคชั่นสำคัญของแบรนด์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในบันทึกวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบปีสำคัญ MIDO ก็คงไม่พลาดทำเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้างก็ต้องรอติดตามกันดูตลอดปีนี้ซึ่งก็จะเห็นกันอย่างชัดเจนขึ้นที่งานบาเซิลเวิลด์ 2018 ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น MIDO ก็ได้เผยโฉมนาฬิการุ่นใหม่ที่เป็นหนึ่งในการเฉลิมฉลองครั้งนี้ออกมาแล้ว นั่นก็คือ นาฬิกาตระกูลสำคัญของ MIDO ที่ดำเนินการผลิตสืบทอดทายาทกันมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีอย่าง Commander โดยเป็นรุ่นใหม่ที่มีการเพิ่มเติมฟังก์ชั่น บิ๊กเดท เข้าไป และเลือกใช้ชื่อที่เรียกง่ายๆ ว่า Commander Big Date โดย

ฟังก์ชั่น บิ๊กเดท ก็คือ รูปแบบการแสดงวันที่ด้วยตัวเลขขนาดใหญ่ 2 หลักซึ่งพิมพ์อยู่บนจานดิสก์ 2 ชุดประสานการทำหน้าที่แสดงวันที่ผ่านช่องกรอบหน้าต่างคู่ขนาดใหญ่บนหน้าปัดนาฬิกา ซึ่งก็เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นที่ได้รับความนิยมกันมากเนื่องจากสามารถอ่านค่าได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเพ่งสายตาหรือพึ่งพาเลนส์ไซคลอปขยายตัวเลขให้เกะกะกระจกหน้าปัด

 

Commander bigdate 4

 

สำหรับ Commander Big Date รุ่นนี้ MIDO เลือกวางตำแหน่งของกรอบหน้าต่างคู่ขนาดใหญ่สำหรับฟังก์ชั่นบิ๊กเดท เอาไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ซึ่งก็ทำให้รูปลักษณ์โดยภาพรวมยังคงเป็นไปตามลักษณะของนาฬิกา Commander ทุกประการ นั่นก็คือ ความสะอาดตาเรียบของผืนหน้าปัดขนาดใหญ่แผ่กว้างขัดซาตินลายซันเรย์ ร่วมกับแท่งหลักชั่วโมงและเข็มทรงเน้นเหลี่ยมสันที่มีขนาดกำลังเหมาะไม่เล็กไม่ใหญ่และมีรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่เรียกว่าบอกได้ทันทีที่เห็นว่านี่คือนาฬิกา Commander ทั้งยังมีการติดตั้งสารเรืองแสงมาให้บนหลักชั่วโมงและบนเข็มชั่วโมงกับนาทีซึ่งใช้เป็นสีแบบทูโทน (สีดำ ร่วมกับสีเงินหรือสีโรสโกลด์ตามแต่ละเวอร์ชั่น) เช่นเดียวกับ Commander รุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน

 

 

Commander bigdate 10

 

 

Commander bigdate 5

 

 

กลไกที่ใช้กับรุ่นนี้ยังคงเป็นแบบขึ้นลานอัตโนมัติ แสดงเวลาแบบสามเข็ม ความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ที่ MIDO เรียกว่า คาลิเบอร์ 80 (ซึ่งเป็นกลไกที่ปรับแต่งมาจากกลไก ETA CO7.651) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถสำรองพลังงานได้อย่างยาวนานถึง 80 ชั่วโมง หรือเท่ากับ 3 วันนิดๆ โดย MIDO นำมาปรับเพิ่มฟังก์ชั่นบิ๊กเดทเข้าไป โรเตอร์ขึ้นลานใช้เป็นสีเงินโดยมีการตกแต่งเป็นลายเจนีวาสไตรพ์ และกำกับชื่อแบรนด์กับชื่อรหัสกลไกด้วยสีดำ มองเห็นได้จากกระจกใสที่ผนึกอยู่บนฝาหลัง

 

 

Commander bigdate 3

 

 

ตัวเรือนของ Commander Big Date ใช้เป็นวัสดุสเตนเลสสตีลขัดซาติน ขนาด 42 มม. และขัดเงาบนวงขอบตัวเรือนชิ้นบาง ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน ขณะที่ยังคงลักษณะเด่นของนาฬิกา Commander ตั้งแต่บรรพบุรุษ นั่นก็คือกระจกหน้าปัดขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่กว้างจนเกือบเท่าขนาดของตัวเรือนเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งแน่นอนว่าในยุคนี้จะต้องใช้เป็นกระจกแซฟไฟร์แล้ว ส่วนความหนาของตัวเรือนนั้นเท่ากับ 11.97 มม. ซึ่งหนากว่า Commander ฟังก์ชั่นเดย์เดท รุ่นปัจจุบันเพียงนิดเดียวเท่านั้นทำให้ยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้แขนเสื้อเชิ้ตได้ดี ขณะที่ความสามารถในการกันน้ำจะอยู่ที่ 50 เมตรเท่ากับรุ่นฟังก์ชั่นเดย์เดท ซึ่งก็เหมาะสมกับลักษณะของนาฬิกาดีอยู่

 

 

Commander bigdate 6Commander bigdate 7

 

 

Commander bigdate 8Commander bigdate 9

 

 

Commander Big Date เปิดตัวมาพร้อมกัน 4 เวอร์ชั่น คือ 1) หน้าปัดสีเงิน คู่กับสายสตีล 2) หน้าปัดสีเทาแอนทราไซต์ คู่กับสายสตีล 3) หน้าปัดสีเงิน เข็ม หลักชั่วโมง โลโก้ และกรอบหน้าต่าง สีโรสโกลด์ คู่กับสายสตีล ตกแต่งตัวเรือนและสายแบบทูโทน ด้วยการเคลือบพีวีดีสีโรสโกลด์บนวงขอบตัวเรือน เม็ดมะยม และบางส่วนของสาย 4) หน้าปัดสีดำ เข็ม หลักชั่วโมง โลโก้ และกรอบหน้าต่าง สีโรสโกลด์ ตัวเรือนเคลือบพีวีดีสีโรสโกลด์ คู่กับสายหนังสีดำลายผิวจระเข้

 

 

By: Viracharn T.