UFO บนขอบฟ้าและวัตถุลอยน้ำที่ไม่ปรากฏชื่อ

นาฬิกาตั้งโต๊ะแบบโครโนมิเตอร์แห่งอนาคตจำนวน 75 เรือนแรกในชื่อ UFO จาก ULYSSE NARDIN ที่ในครั้งนั้นมาในโทนสีน้ำเงินเข้มถูกจับจองอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปีเดียวกันนั้น รุ่นโทนสีส้มพิเศษก็ถูกประมูลไปในราคารวม CHF 380,000 จากการประมูลเพื่อการกุศล ONLY WATCH จนถึงขณะนี้ การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของ UFO ก็ใกล้จะจบลงแล้วกับนาฬิกาชุดสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์

 

4

 

และจะมีจำนวนจำกัดที่ 30 ชิ้น กับโทนสีแชมเปญสำหรับ THE HOUR GLASS ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากปี 2021 กับการฉลองครบรอบ 175 ปีของ ULYSSE NARDIN ที่ได้มีการคิดค้นรหัสประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ในรูปแบบนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ให้ชื่อว่า UFO ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหม่ สู่อนาคตสำหรับผู้ผลิตอิสระ และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ล้ำหน้าอยู่เสมอทั้งทางด้าน ศิลปะและเทคนิค

 

UN UFO The Hour Glass 05 768x512

 

โดย UFO คือวัตถุลอยน้ำที่ไม่สามารถระบุได้ และยังสามารถแกว่งไปมา เมื่อถูกสะกิดก่อนจะตั้งตัวตรงบนฐาน โดดเด่นด้วยบาลานซ์วีลขนาด 49 มิลลิเมตร อันน่าทึ่งที่ทำงานที่ความถี่ต่ำ 0.5 เฮริท์ซ ซึ่งด้วยจังหวะที่เชื่องช้านี้ ประกอบกับพลังงานจำนวนมากที่เก็บไว้ โดยตลับลานขนาดใหญ่พิเศษถึง 6 ตลับ ที่ทำให้เกิดพลังสำรองลานอันยาวนานของ UFO ที่จะทำงานอยู่ได้ตลอดทั้งปี

 

UN UFO The Hour Glass 04 683x1024

 

ซึ่งถือเป็นความสามารถด้านเทคนิคการผลิตของแบรนด์ได้อย่างแท้จริง เพราะแค่กล้าเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ให้กับนาฬิกาแบบโครโนมิเตอร์ก็ถือว่ามากพออยู่แล้ว แต่ด้วยความสามารถทางกลไกนี้ของแบรนด์ และส่วนประกอบทั้งหมดรวม 675 ชิ้นนี้ ยังทำให้เกิดความสามารถพิเศษ อันหลากหลายของนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนนี้ขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากการวิจัยและเวลาในการสร้างต้นแบบนานถึงสองปี

 

5

 

จากทีมวิจัยและพัฒนาของ ULYSSE NARDIN รวมไปถึง L’ÉPÉE ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาตั้งโต๊ะจากเมืองเดเลมองท์ ที่ร่วมกันทำให้ UFO ที่มีน้ำหนักรวม 7.2 กิโลกรัมเป๊ะๆ พร้อมความสามารถในการกระจายน้ำหนักในระดับความสูง 263 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 159 มิลลิเมตร เกิดประสิทธิภาพด้านการแสดงเวลาได้อย่างน่าทึ่ง

 

UN UFO The Hour Glass 03 683x1024

 

จากคำถามเบื้องต้น ถึงภาพแห่งอนาคตที่จะเป็น "เรามองไปข้างหน้าเสมอ และสงสัยว่านาฬิกาแบบโครโนมิเตอร์ที่ออกแบบในปี 2196 หน้าตาจะเป็นอย่างไร" Patrick Pruniaux ซีอีโอของ ULYSSE NARDIN กล่าว

UN22